<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Goldman Sachs ผนึก BNY Mellon เปิดตัว ‘กองทุนตลาดเงินแบบโทเค็น’ ลุยตลาดสินทรัพย์ $7.1 ล้านล้าน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

Goldman Sachs จับมือกับ BNY Mellon เปิดตัว “กองทุนตลาดเงินแบบโทเคน” (Tokenized Money Market Fund) สำหรับนักลงทุนสถาบัน โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนแปลงสิทธิความเป็นเจ้าของกองทุนเป็นโทเคนดิจิทัล ช่วยให้โอนและชำระธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์

โปรเจกต์นี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์ดั้งเดิมในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 7.1 ล้านล้านดอลลาร์ โดย Goldman Sachs จะดูแลระบบโครงสร้างดิจิทัล ส่วน BNY Mellon รับหน้าที่ดูแลการเก็บรักษาสินทรัพย์ (custody) ให้กับลูกค้าระดับสถาบัน

จุดเด่นของกองทุนโทเคนคือความรวดเร็วในการทำธุรกรรม ความโปร่งใส และความยืดหยุ่นด้านสภาพคล่อง แถมยังช่วยลดขั้นตอนที่เคยล่าช้าในตลาดกองทุนแบบเดิม ๆ 

โครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพาร์ทเนอร์รายใหญ่ระดับโลกอย่าง BlackRock, Fidelity Investments และ Federated Hermes แสดงให้เห็นว่า “การแปลงสินทรัพย์เป็นโทเคน” หรือ Tokenization กำลังกลายเป็นแนวทางหลักของทั้งอุตสาหกรรม

แรงสนับสนุนที่สำคัญอีกอย่างมาจากกฎหมาย GENIUS Act ที่เพิ่งผ่านในสหรัฐฯ ซึ่งเอื้อต่อการใช้ Stablecoin และเทคโนโลยีคริปโตในระบบการเงินหลักอย่างเป็นทางการ

สำหรับเป้าหมายหลักของกองทุนนี้ คือเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันนำเงินสดส่วนเกินไปพักไว้ในกองทุนที่ให้ผลตอบแทน โดยไม่ต้องพึ่งพา Stablecoin ที่ไม่ให้ดอกเบี้ย

การเปลี่ยนมาใช้กองทุนแบบโทเคน ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการรอธุรกรรมนานหลายวัน และช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมี BNY Mellon ซึ่งเป็นธนาคารดูแลสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก เข้ามาร่วมด้วย ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับโครงการนี้

อย่างไรก็ตาม โปรเจกต์ยังต้องเจอกับความท้าทาย เช่น กฎเกณฑ์เกี่ยวกับโทเคนที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา และอุปสรรคด้านการทำธุรกรรมข้ามประเทศที่ยังขาดความชัดเจนด้านกฎระเบียบร่วมกัน

นอกจากนี้ โครงการยังต้องแข่งกับธนาคารยักษ์ใหญ่อื่น ๆ อย่าง JPMorgan และ Bank of America ที่กำลังทดลองใช้ Stablecoin สำหรับชำระเงินเช่นกัน

ทั้ง Goldman และ BNY ก็ไม่ใช่มือใหม่ในโลกบล็อกเชน ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองบริการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล และร่วมมือกับฟินเทคหลากหลายราย ดังนั้นนี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของสองบริษัทยักษ์ใหญ่ในการเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

ที่มา : ainvest