เจนเซน หวง (Jensen Huang) ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Nvidia ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ The All-In Podcast โดยกล่าวว่า เทคโนโลยี AI จะสร้างเศรษฐีหน้าใหม่จำนวนมากในอีก 5 ปีข้างหน้า มากกว่าที่อินเทอร์เน็ตเคยทำไว้ในช่วง 20 ปีแรก เสียอีก
ในรายการ “The All-In Podcast” Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ได้กล่าวว่า AI ช่วยให้ผู้คน สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ แม้จะไม่มีทักษะเฉพาะทางอย่างการเขียนโปรแกรม ซึ่งถือเป็นการลดช่องว่างของทักษะ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้
Jensen Huang ยกย่องให้ AI เป็น “เครื่องมือสร้างความเท่าเทียมทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” เนื่องจาก AI สามารถเปลี่ยนคนทั่วไปให้กลายเป็นนักพัฒนาโปรแกรมได้ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาโปรแกรมอย่าง Python หรือ C++
Jensen Huang อธิบายเพิ่มเติมว่า AI ช่วยให้ทุกคนสามารถสื่อสารกับเทคโนโลยีด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติได้ ไม่ว่าจะเป็นนักสร้างสรรค์ที่ต้องการเพิ่มทักษะทางเทคนิค หรือช่างเทคนิคที่ต้องการเสริมพลังด้านความคิดสร้างสรรค์ AI จะช่วยทำให้ทุกคนสามารถเป็น “ศิลปิน” หรือ “โปรแกรมเมอร์” ได้ในยุคนี้
อย่างไรก็ตาม Jensen Huang ยังได้เตือนถึงอีกด้านหนึ่งของเทคโนโลยี นั่นคือ คนที่ไม่ใช้ AI จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI
“สิ่งที่เรารู้แน่นอนคือ ถ้าคุณไม่ใช้ AI คุณจะถูกแย่งงานโดยคนที่ใช้มัน แม้บางตำแหน่งงานจะล้าสมัยไป แต่ในขณะเดียวกัน งานใหม่จำนวนมากก็จะเกิดขึ้น เพราะ AI ซึ่งลักษณะเนื้องานของมนุษย์ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต”
เ
เจนเซน ฮวง ซีอีโอของ Nvidia กล่าวบนเวทีในพอดแคสต์ All-In เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ภาพโดย Roy Rochlin/Getty Images สำหรับ Hill & Valley Forum
Nvidia ถือเป็นบริษัทที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอย่างยิ่งในกระแสความนิยมของ AI ด้วยการครองส่วนแบ่งตลาดชิป AI สูงถึง 70% – 95% ซึ่งชิปของ Nvidia เปรียบเสมือนสมองสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีชั้นนำมากมาย เช่น ChatGPT ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 500 ล้านคนต่อสัปดาห์ ทั่วโลก รวมถึงผลิตภัณฑ์ AI จากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ Meta
Jensen Huang ซึ่งดำรงตำแหน่งซีอีโอมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท Nvidia ในปี 1993 ยังกล่าวติดตลกว่า เขาได้ “สร้างมหาเศรษฐี” จากทีมผู้บริหารของเขา มากกว่าซีอีโอคนไหนในโลก
ปัจจุบัน Nvidia เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก โดยเพิ่งกลายเป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นเกือบ 27% ตั้งแต่ต้นปี และเติบโตขึ้นถึง 1,554% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ที่มา : entrepreneur

