ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ออกรายงานเตือนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Stablecoin โดยเฉพาะกลุ่มที่ผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังมีอิทธิพลต่อ “ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ” อย่างมีนัยสำคัญ และอาจกลายเป็นจุดเปราะบางแห่งใหม่ของระบบการเงิน หากเกิดเหตุการณ์แห่ถอนเงิน (Bank Run) ขึ้นในอนาคต
รายงานของ BIS ระบุว่า ณ เดือนมีนาคม 2025 Stablecoin มีเงินสำรองสูงถึง 200,000 – 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว ผู้ออก Stablecoin อย่าง Tether ( USDT) และ Circle (USDC) ได้เข้าซื้อตั๋วเงินคลังสหรัฐฯ ระยะสั้น (T-bills) ไปมากถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเทียบเท่ากับที่รัฐบาลต่างชาติขนาดใหญ่ซื้อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Stablecoin ไม่ใช่ “ผู้เล่นรายเล็ก” ในตลาดอีกต่อไป
นักวิจัยของ BIS พบว่า การไหลเข้าและไหลออกของเงินทุนจาก Stablecoin มีผลโดยตรงต่อราคาพันธบัตรสหรัฐฯ โดยเฉพาะตั๋วเงินคลังระยะสั้น เช่น หากมีเงินทุนไหลเข้า Stablecoin จำนวน 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือน ลดลง 2-2.5 จุด
ในทางกลับกัน หากมีเงินทุนไหลออกจาก Stablecoin จำนวน 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะทำให้อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือน พุ่งขึ้น 6-8 จุด ในระยะเวลา 10 วัน
ผลกระทบที่ไม่สมดุลนี้ ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงสำคัญ นั่นคือ หากเกิดเหตุการณ์ “Bank Run” หรือการที่นักลงทุนแห่ถอนเงินออกจาก Stablecoin จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ออก Stablecoin อาจถูกบังคับให้ต้องเทขายสินทรัพย์สำรอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อนำเงินมาจ่ายคืนนักลงทุน การเทขายครั้งใหญ่นี้จะทำให้ราคาพันธบัตรดิ่งลงอย่างรุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินในวงกว้างได้
ทางด้านนักวิเคราะห์จาก Moody’s ก็มีความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเตือนว่า การเทขาย Stablecoin อย่างกะทันหันอาจสร้างความวุ่นวายให้กับตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ได้
ในขณะเดียวกัน รัฐสภาสหรัฐฯ ก็ได้อนุมัติร่างกฎหมาย GENIUS Act เพื่อกำหนดกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้น โดยกำหนดให้ Stablecoin ต้องมีเงินสำรอง 1:1 เป็นเงินสดหรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับ Stablecoin
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ Stablecoin กำลังเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับระบบการเงินโลก ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อหาทางบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ที่มา:thecoinrepublic

