<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ไขปมเงินปริศนา “NEO” ทะลักเข้าไทย ! ธปท.ไม่รู้ที่มา แต่ย้ำไม่ใช่เงินเทาทั้งหมด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แม้เศรษฐกิจไทยจะยังคงซบเซา แต่ในดุลการชำระเงินกลับปรากฏตัวเลข “เงินปริศนา” หรือ Net Errors and Omissions (NEO) มูลค่ามหาศาลกว่าแสนล้านบาทไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นประเด็นร้อนว่า เงินก้อนนี้มาจากไหน และเกี่ยวข้องกับ “เงินสีเทา” ที่รัฐกังวลหรือไม่

เงินปริศนา NEO คืออะไร?

หากเปรียบเทียบกับบัญชีรายรับ–รายจ่ายของบุคคล ระดับประเทศของเราก็มี “ดุลการชำระเงิน” หรือก็คือบัญชีรายงานการเงินของประเทศ ที่ ธปท. ทำหน้าที่บันทึกการเคลื่อนไหวของเงินทุนและการค้าระหว่างประเทศ แต่ในข้อมูลดังกล่าว มักมี NEO หรือ “ยอดเงินระบุที่มาไม่ได้” ปรากฏขึ้นมาเสมอ

ตัวเลขล่าสุด ณ มีนาคม 2568 ระบุว่า NEO ของไทยอยู่ที่ 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 398,000 ล้านบาท) ตัวเลขมหาศาลนี้ ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วนี่คือเงินสีเทาที่แฝงเข้ามา หรือเป็นเพียงความคลาดเคลื่อนทางสถิติ

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) อธิบายว่า การมี NEO ถือเป็นเรื่องปกติทางสถิติ แต่กรณีไทยกลับพบยอดขาเข้าสูงผิดปกติ เฉลี่ยไตรมาสละ 3,000–4,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 100,000 ล้านบาท) และต่อเนื่องมานานกว่า 2 ปี ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่าอาจสะท้อนการเคลื่อนย้ายเงินที่ยังอธิบายไม่ชัด

ขณะที่ ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ชี้ว่า เงินสีเทาส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ได้ไหลเข้าผ่านเงินบาทโดยตรง แต่มักเคลื่อนผ่าน คริปโตเคอร์เรนซี ดอลลาร์สหรัฐ และทองคำ โดยเฉพาะการทำธุรกรรมผ่านกระเป๋าดิจิทัล ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตัวเลข NEO คลาดเคลื่อน แต่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าในปีนี้

ด้าน ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการและโฆษก ธปท. ยืนยันว่า “ไม่รู้ที่มา ≠ เงินเทา” พร้อมชี้แจงว่า NEO ส่วนหนึ่งเกิดจากความคลาดเคลื่อนทางสถิติ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปข้อมูลจะถูกปรับปรุงให้แม่นยำขึ้น โดยล่าสุด ณ ก.ย. 2568 ตัวเลข NEO ถูกปรับลดเหลือเพียง 7,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 230,000 ล้านบาท) หลังมีการแก้ไขข้อมูลสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ ราคาน้ำมันนำเข้าที่ลดลง, การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น และการปรับข้อมูลสินเชื่อการค้า (Trade Credit)

ธปท. ย้ำว่าเงิน NEO ไม่ใช่ปัจจัยหลักกดดันค่าเงินบาทในปีนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าคือ ราคาทองคำที่พุ่งกว่า 40% และ ดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า จนทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวมากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ขณะเดียวกัน ธปท. ยังคงร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ปปง. เพื่อตรวจสอบและปิดช่องโหว่การใช้ระบบการเงินในทางที่ผิดกฎหมาย

ที่มา:thairath