ในโลกการเงินแบบดั้งเดิม คำว่า “ตลาดหมี” มักจะเริ่มถูกนิยามขึ้นเมื่อตลาดร่วงลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุด แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ชาวคริปโตอย่างเราต้องเจอ นั่นคือ “Crypto Winter” หรือการที่ราคาเหรียญคริปโตมีโอกาสดิ่งลงแรงถึง 80% – 90% จากจุดสูงสุด
ภาวะนี้มักเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี และกินเวลานานกว่าหนึ่งปี ในขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่ตื่นตระหนก และเทขายทุกอย่างแต่นักลงทุนที่มองระยะยาว ต่างรู้ดีว่า Crypto Winter คือ “ช่วงเวลาทอง” ในการสร้างความมั่งคั่งสำหรับวัฏจักรรอบถัดไป
นี่คือ 5 กลยุทธ์ที่คุณ “ต้องทำ” จาก Siamblockchain ถ้าคุณไม่อยากเป็นแค่ “ผู้รอดชีวิต” แต่ต้องการเป็น “ผู้ชนะ” ในตลาดกระทิงรอบหน้า
1. บริหารจิตใจของคุณให้ดี ตั้งมั่นในหลักการ “HODL” ระยะยาว

เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดคือ การเข้าใจ “สงครามจิตวิทยา” ในตลาดคริปโต ช่วง Crypto Winter มักจะเต็มไปด้วย “ข่าว FUD” ซึ่งหมายถึง ข่าวลือ ข่าวเชิงลบ หรือข่าว Fake News ที่จะถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำลายความเชื่อมั่น ส่งผลให้นักลงทุนตกใจเทขาย
ในทางกลับกัน พอตลาดเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ความรู้สึก “FOMO” หรือ “ความกลัวตกรถ” จะเริ่มทำงาน ทำให้นักลงทุนรีบกระโดดกลับเข้ามาซื้อ โดยมักลืมเหตุผลของการลงทุนที่ถูกต้องไป และตัดสินใจซื้อขายด้วยอารมณ์ ซึ่งสุดท้ายมักจะจบลงไม่สวยเป็นส่วนใหญ่
กลยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อไม่ให้คุณตกเป็นเหยื่อคือ “HODL” ซึ่งในความหมายของนักลงทุนคริปโต ไม่ใช่แค่การ “ถือยาว” แต่เป็นปรัชญาการลงทุนระยะยาว ที่ตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีเบื้องหลังของเหรียญนั้นๆ
นักลงทุนกลุ่มนี้เข้าใจดีว่า ความผันผวนระยะสั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และพวกเขาเลือกที่จะไม่พยายามจับจังหวะตลาด เพราะคนส่วนใหญ่ที่พยายามทำเช่นนั้นมักล้มเหลว การ HODL ช่วยให้นักลงทุนรอดพ้นจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์และยังคงอยู่ในตลาดเพื่อรอการเติบโตในระยะยาว
2. บริหารความเสี่ยงด้วยการใช้ “เงินเย็น” เท่านั้น

การที่จะ “HODL” ได้อย่างแท้จริงนั้น มีเงื่อนไขสำคัญเพียงข้อเดียวคือ คุณต้องใช้ “เงินเย็น” ในการลงทุน
“เงินเย็น” ในที่นี้หมายถึงเงินที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้มันในอีก 4 ปีข้างหน้า และอย่าใช้เงินที่กู้ยืมมาลงทุนเด็ดขาด
เหตุผลที่กฎข้อนี้สำคัญมากในตลาดหมี เพราะหากคุณใช้ “เงินร้อน” หรือเงินที่คุณต้องใช้ในเดือนหน้า หรืออีก 6 เดือนข้างหน้า เมื่อ Crypto Winter มาถึงและพอร์ตของคุณขาดทุนอย่างหนัก แต่คุณกลับมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้น เช่น จ่ายค่าเทอมลูก, ค่ารักษาพยาบาล, หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน คุณจะถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ในราคาที่ขาดทุนมหาศาล การใช้เงินเย็นเท่านั้น ที่จะทำให้คุณมีอิสระในการ “HODL” และอดทนรอจนช่วงที่แย่ที่สุดผ่านพ้นไป
3. ใช้กลยุทธ์ DCA เปลี่ยนตลาดขาลงให้เป็น “ช่วงลดราคา”

หลังจากควบคุมจิตใจและบริหารเงินทุนแล้ว คำถามต่อมาคือ “ควรซื้อเมื่อไหร่?” ในเมื่อไม่มีใครสามารถคาดเดา “จุดต่ำสุด” ที่แท้จริงได้
คำตอบที่มีดีที่สุดและได้รับการพิสูจน์แล้วสำหรับสินทรัพย์ผันผวนสูงอย่างคริปโต คือ “Dollar-Cost Averging” (DCA) หรือการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนโดยการ
ลงเงิน “จำนวนเงินที่เท่าๆ กัน” อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เช่น ทุกสัปดาห์ หรือ ทุกเดือน โดยไม่สนใจว่าราคาเหรียญ ณ ขณะนั้นจะเป็นอย่างไร
พลังของ DCA จะแสดงผมอย่างมากในตลาดหมี เพราะเมื่อราคาปรับตัวลดลง เงินจำนวนเท่าเดิมของคุณจะสามารถซื้อ “จำนวนเหรียญได้มากขึ้น” ส่งผลให้ “ต้นทุนเฉลี่ย” ของคุณต่ำลงเรื่อยๆ
กลยุทธ์นี้ช่วยขจัดอารมณ์ออกจากการตัดสินใจ สร้างวินัยการลงทุน และที่สำคัญที่สุดคือ มันช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองของนักลงทุน จากเดิมที่มองว่า “ราคาตก = ขาดทุน” ทำให้รู้สึกแย่ เปลี่ยนเป็น “ราคาตก = ได้ซื้อของที่ชอบในราคาถูกลง” ทำให้รู้สึกดี
การทำ DCA อย่างมีวินัยในเหรียญที่มีพื้นฐานดี จะกลายเป็นกำไรมหาศาลเมื่อตลาดกระทิงรอบถัดไปมาถึง
4. ใช้ช่วงขาลงในการศึกษา “Tokenomics” และ “On-Chain Data”

ตลาดหมีคือ ช่วงที่ของถูกก็จริง แต่มันลดราคาทั้งของดี และของไม่ดี Crypto Winter คือ ตัวกรองชั้นดีในการคัดแยกเหรียญที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งออกจากเหรียญ ที่กำลังจะตาย นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการ “ทำการบ้าน” และเจาะลึกปัจจัยพื้นฐานของเหรียญที่คุณกำลังจะเข้าไปลงทุน
การวิเคราะห์พื้นฐานคริปโต นั้นแตกต่างจากหุ้นอย่างสิ้นเชิง เราไม่สามารถใช้ P/E หรือ P/B Ratio ได้ แต่นักลงทุนต้องเจาะลึกใน 2 เรื่องหลัก
ข้อแรกคือ Tokenomics หรือ “เศรษฐศาสตร์ของเหรียญ” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องศึกษาเพื่อตอบคำถามว่าเหรียญนี้ใช้ทำอะไร มีเหรียญทั้งหมดเท่าไหร่ อัตราการเพิ่มของเหรียญเป็นอย่างไร และเหรียญถูกจัดสรรอย่างไร มีการปลดล็อกเหรียญของทีมนักพัฒนาหรือนักลงทุนรายใหญ่เมื่อไหร่ หากมีเหรียญจำนวนมากรอปลดล็อกนั่นหมายถึงแรงเทขายมหาศาลในอนาคต
ส่วนข้อที่สองคือ On-Chain Data หรือ “ข้อมูลบนบล็อกเชน” ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของคริปโตที่ตลาดอื่นไม่มี นั่นคือความโปร่งใส นักลงทุนสามารถวิเคราะห์การใช้งานจริงของเครือข่ายได้ เช่น Daily Active Addresses เพื่อดูว่า เครือข่ายมีการเติบโตหรือไม่ และ Network Value-to-Transaction Ratio เพื่อประเมินว่าราคาสูงหรือต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับการใช้งานจริง
นักลงทุนที่ใช้เวลาในตลาดหมีเพื่อศึกษา Tokenomics และข้อมูล On-Chain จะสามารถคัดเลือกผู้ชนะที่แท้จริง และใช้ช่วงลดราคาสะสมเหรียญผ่านการ DCA ได้อย่างมั่นใจ
5. บริหาร “กระสุน” (เงินสด) ให้ดี และสะสมความรู้ให้พร้อม

กลยุทธ์สุดท้ายคือ การบริหารทรัพยากรที่สำคัญที่สุด 2 อย่างในตลาดหมี “กระสุน” (เงินสด) และ “ความรู้”
สำหรับโลกคริปโต “เงินสด” หรือสินทรัพย์ปลอดภัยที่เรามักเอาไว้ใช้พักเงินคือ Stablecoins เช่น USDT, USDC การถือ Stablecoin ในสัดส่วนที่เหมาะสมของพอร์ต ไม่ใช่การ “ยอมแพ้” แต่คือการ “เตรียมพร้อม” สำหรับโอกาสในอนาคตที่คุณไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อตลาดเกิดการ Panic Sell อย่างรุนแรง หรือเกิดเหตุการณ์ Black Swan ที่ทำให้ เหรียญที่คุณวิเคราะห์มาจากข้อที่แล้ว ถูกเทขายลงมาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าอย่างไม่น่าเชื่อ การมี “กระสุน” พร้อม “ยิง” (ลงทุน) คือสิ่งที่แยกระหว่างนักลงทุนที่แค่อยู่รอด กับนักลงทุนที่จะมั่งคั่ง
สำหรับคนทั่วไปอาจมองว่า Crypto Winter เป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่สำหรับนักลงทุนที่มีเงินเย็น และศึกษาสิ่งที่พวกเขาลงทุนมาเป็นอย่างดี มันก็ไม่ต่างอะไรกับโอกาสใน “การซื้อของดีราคาถูก” หวังว่า กฎเหล็กทั้ง 5 ข้อที่เราให้ไป จะช่วยให้คุณอยู่รอดและพอร์ตเติบโตไปพร้อมกับตลาดคริปโตในระยะยาว

