ก.ล.ต. ยืนยัน ไม่ปล่อยให้ “ตลาดทุน–สินทรัพย์ดิจิทัล” ถูกใช้เป็นช่องทางการฟอกเงินและสนับสนุนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมดำเนินการทุกมาตรการรวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามการใช้ตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางในการฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นผ่าน 3 แนวทางหลัก
การดำเนินการแรกคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดย ก.ล.ต. กำกับดูแลให้ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับปฏิบัติตามกฎหมายฟอกเงินของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมถึงการทำความรู้จักตัวตนของลูกค้า (KYC) การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า (CDD) และการรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย (STR)
นอกจากนี้ หากพบความไม่สอดคล้องในการลงทุนกับฐานะทางการเงิน หรือได้รับคำสั่งจาก ปปง. ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกและรายงานข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. จะดำเนินการทางกฎหมายเมื่อพบการฝ่าฝืนกฎหมายหลักทรัพย์ เช่น การไม่เปิดเผยข้อมูล หรือการไม่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์
สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล นอกเหนือจากมาตรการ KYC/CDD แล้ว ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีกลไกยับยั้งและรายงานข้อมูลตามกฎหมายอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเทียบเท่าธนาคารพาณิชย์ เช่น การห้ามเปิดบัญชีม้า และการจัดกลุ่มประเภทลูกค้าตามความเสี่ยง ซึ่งภายใต้การดำเนินการนี้ สามารถยับยั้งบัญชีม้าได้แล้วกว่า 44,382 บัญชี มูลค่ารวมมากกว่า 200 ล้านบาท นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังอยู่ระหว่างประสานงานกับ ปปง. เพื่อนำเกณฑ์ Travel Rule มาใช้กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่อไป
การดำเนินการที่สองคือ การป้องกันเชิงรุก ภายใต้แนวคิด “Preventive Anti-Scam for All” ซึ่งมุ่งลดความสูญเสียของประชาชนจากการถูกหลอกลวงลงทุน ก.ล.ต. ได้ประสานงานกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในการปิดกั้นช่องทางหลอกลงทุนอย่างรวดเร็ว โดยปิดกั้นช่องทางหลอกลวงลงทุนไปแล้ว 3,134 บัญชีในช่วงต้นปีถึงปลายเดือนตุลาคม 2568 นอกจากนี้ยังร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ในการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต
การป้องกันเชิงรุกนี้ขับเคลื่อนผ่านกลไก 3Cs ได้แก่ Consultation การให้คำปรึกษาเชิงรุกก่อนตัดสินใจลงทุนหรือโอนเงิน Communication การจัดทำศูนย์รวมข้อมูลและสื่อสารรณรงค์ “เอะใจก่อนโอน” และ Collaboration การขยายความร่วมมือเพื่อสร้างการป้องกันภัยหลอกลงทุน เช่น การปิดกั้นเพจมิจฉาชีพที่แอบอ้าง
สุดท้ายคือ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ก.ล.ต. ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกับ 15 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงิน (Connecting the dots) เพื่อยกระดับการติดตามและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล และยืนยันว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการในทุกรูปแบบเพื่อป้องกันและยับยั้งการฟอกเงินอย่างเข้มข้น

