<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ญี่ปุ่นไฟเขียว อนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ $110,000 ล้าน : Bitcoin จะได้รับประโยชน์หรือไม่ ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งอนุมัติแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดมหึมา มูลค่า 21 .3 ล้านล้านเยน (ประมาณ $135,500 ล้านดอลลาร์) ซึ่งถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ยุคโควิด-19 

การประกาศนี้ส่งผลให้ค่าเงินเยนร่วงลงทันที ไปแตะระดับต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 40 ปี พุ่งทำสถิติที่ 3.697 %

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนี้มุ่งเน้น 3 เป้าหมายหลัก คือ บรรเทาค่าครองชีพที่สูงขึ้น, กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ, และเสริมงบประมาณด้านกลาโหมและการทูต 

รายงานจากสื่อ NHK ระบุว่า แพ็กเกจนี้ รวมถึงเงินอุดหนุนด้านพลังงานและงบประมาณสนับสนุนท้องถิ่น ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเฉลี่ยให้ครัวเรือนได้ประมาณ 7,000 เยนใน 3 เดือน แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว 

โดย GDP ไตรมาส 3/2025 หดตัว 0.4 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) หรือคิดเป็น -1.8% แบบปรับรายปี ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 18 เดือน และอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่า 2% ติดต่อกัน 43 เดือน 

รัฐบาลญี่ปุ่นหวังว่า มาตรการนี้จะสามารถผลักดัน GDP จริงให้สูงขึ้น 24 ล้านล้านเยน (รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจราว $265,000 ล้านดอลลาร์) แต่ในตลาดยังมีความกังวล เนื่องจาก CDS (Credit Default Swap) ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นพุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน

หลังจากการประกาศแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ ค่าเงินเยนร่วงลงอย่างหนัก จนเกิดประเด็นว่า รัฐบาลอาจต้องเข้าแทรกแซงค่าเงินเพิ่ม ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 40 ปี กลับพุ่งสูงถึง $3.774% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ผิดปกติ เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวลดลง แต่การที่ผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น กลับสะท้อนว่า ตลาดมีความกลัวเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และกังวลเรื่องภาระหนี้รัฐบาล 

ซึ่งทุก ๆ 1% ที่ดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้น จะทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องรับภาระค่าดูแลหนี้เพิ่มถึง 2.8 ล้านล้านเยนต่อปี

นอกจากนี้ สถานการณ์นี้ ยังสร้างแรงกดดันต่อ Yen Carry Trade มูลค่ากว่า $20 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนจะกู้เงินเยนดอกเบี้ยต่ำไปลงทุนในต่างประเทศ หากผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นพุ่งขึ้น หรือเยนแข็งค่า นักลงทุนจะถูกบังคับให้ “เทขายสินทรัพย์ทั่วโลกเพื่อปิดสถานะ”

ซึ่งในประวัติศาสตร์ เคยแสดงให้เห็นในอดีตว่า การปิดสถานะ มีความสัมพันธ์สูงถึง 0.55 กับการดิ่งลงของดัชนี S&P 500

ผลลัพธ์จากสถานการณ์นี้ มีความชัดเจนในสองด้านสำหรับ Bitcoin ในด้านบวก คือ ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง จะกระตุ้นให้นักลงทุนญี่ปุ่นหันมาซื้อ Bitcoin มากขึ้น ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของสภาพคล่องทั่วโลก เช่น จากการผ่อนคลายนโยบายของ Fed และการอัดฉีดเงินของจีน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า นี่คือ ปัจจัยเชิงบวก ที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับ Bitcoin

แต่ก็มีด้านลบที่น่ากังวลเช่นกัน คือ หากพันธบัตรญี่ปุ่นร่วงลงอย่างรุนแรงจนทำให้ Carry Trade แตก สถาบันต่าง ๆ จะต้องเทขายสินทรัพย์ทั่วโลก รวมถึง Bitcoin เพื่อปิดสถานะ และเนื่องจากตลาดคริปโตมีความไวต่อการเทขายแบบล้างเลเวอเรจ จึงมีความเสี่ยงที่ราคา  Bitcoin จะร่วงลงหนัก ตามตลาดหุ้นและตลาดบอนด์

ที่มา : beincrypto