เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ในเว็บไซต์ settrade.com ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับหุ้นเทคสหรัฐฯ
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของหุ้นเทคโนโลยีและตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงนี้ อาจทำให้เกิดความวิตกกังวลกันว่าหุ้นและตลาดกำลังเกิด “ฟองสบู่” และในไม่ช้าก็จะ “แตก” และตลาดหุ้นก็จะเกิด “วิกฤติ”
หากมองจากประวัติศาสตร์ของวิกฤติตลาดหุ้นพบว่า ก่อนการเกิดวิกฤตนั้น ภาวะของตลาดมักจะมี 2 แบบที่อยู่กันคนละขั้ว แบบแรก คือ ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจรุ่งเรืองมากนำโดยภาคเศรษฐกิจใหม่ที่เปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่นจึงทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมากเกินไปและเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งคนก็เริ่มตระหนักและเทขายหุ้นจนกลายเป็นวิกฤติ
แบบที่สอง คือ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็ปกติแต่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดจากการกระทำของรัฐหรือองค์กรหรือสถาบัน หรือเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจมหภาค จนทำให้เศรษฐกิจตกต่ำหรือสภาพคล่องทางงการเงินมีปัญหารุนแรง ส่งผลทำให้คนขาดความมั่นใจเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่องจนตลาดหุ้นตกต่ำ
วิกฤติแรก
ดร.นิเวศน์ ได้ยกตัวอย่างวิกฤติมา 4 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์แรกคือ “The Great Depression” ในปี 1929 ที่ต้องใช้เวลามากถึง 25 ปีกว่าตลาดจะฟื้นตัวกลับมายังจุดเดิม แต่ก่อนที่จะเกิดวิกฤตินั้นอเมริกากำลังอยู่ในจุดเฟื่องฟูสุดๆ ในด้านนวัตกรรมแซงหน้าทุกประเทศทั่วโลก
เหตุการณ์ในขณะนั้น หุ้นบริษัทรถยนต์ General Motor ได้ปรับตัวพุ่งขึ้นถึง 10 เท่า เช่นเดียวกับ หุ้น Radio Corporation of America บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรวิทยุที่ขายทั้งเครื่องรับวิทยุและเป็นเจ้าของสถานีวิทยุกระจายเสียง ที่ให้ผลตอบแทน 100 เท่าตัว ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลาย
วิกฤติครั้งที่ 2
ถัดมา คือช่วงปี ค.ศ. 1973-1974 ซึ่งเป็นวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจากฝั่งของ OPEC กว่า 300% เนื่องจากการแซงชั่น ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกที่เรียกว่า “Stagflation”
ในช่วงเวลานั้น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของเฟดเพิ่มขึ้นสูงลิ่วกว่า 10% จากระดับ 3-4% ก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้สภาพคล่องทางการเงินในตลาดลดลงไปมากและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงไปประมาณกว่า 40% ในเวลา 2 ปี และใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี กว่าดัชนีจะกลับมาที่เดิม
วิกฤติครั้งที่ 3
อีก 20 กว่าปีให้หลังจะเป็นชื่อของวิกฤติที่เริ่มคุ้นหูอย่าง “ดอทคอม” ในปี 2000 ซึ่งมีต้นตอมาจากหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มดิจิทัล-อินเทอร์เน็ต ที่ถูกมองว่าเป็นอนาคตของโลก ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนทั่วไปให้ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ส่งผลทำให้หุ้นของบริษัทเทคฯ พุ่งอย่างรุนแรงแม้จะยังไม่มีกำไร จนทำให้ฟองสบู่แตกในท้ายที่สุด
วิกฤติครั้งที่ 4
และสุดท้ายกลับวิกฤติซับไพรมฺ์ปี 2008 ที่เกิดจากการบริหารเศรษฐกิจผิดพลาด จนทำให้ S&P 500 ร่วง 42% ใน 7 เดือน มีสถาบันการเงินล้มเป็นจำนวนมากจนรัฐต้องสั่ง QE เพิ่มสภาพคล่องเพื่อช่วยพยุงตลาด
เปรียบเทียบกับปัจจุบัน
จากตัวอย่างทั้ง 4 วิกฤติที่กล่าวไป จะเห็นได้ว่าตอนนี้เรากำลังเกิดวิกฤติได้ทั้งในรูปแบบที่ 1 (หุ้นโตเร็วไป) และแบบที่ 2 (เศรษฐกิจพัง)
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า ตอนนี้หุ้น AI กำลังร้อนแรงเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับดัชนีต่างๆ ซึ่งเรากำลังจะซ้ำรอยกับวิกฤติ Great Depression เห็นได้จากหุ้นของ Tesla (รถยนต์) ปรับตัวพุ่งขึ้นสูงเป็นอย่างมาก ไปพร้อมกับ Nvidia (เทคฯพลิกโฉมโลก)
ทว่า “เซียน” จำนวนมากกลับบอกว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เพราะบริษัท 7 นางฟ้า มีกำไรรองรับเพียงพอ พูดประมาณว่าหุ้นไม่ได้แพงและราคาหุ้นก็คงขึ้นมาอย่างถาวรแล้วไม่ตกลงไปแบบวิกฤติเดิม
แต่ความเห็นของ ดร.นิเวศน์เองกลับรู้สึก “หนาว” เพราะคำว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เพราะยังมีเรื่องการ “เปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรครั้งใหญ่” ที่อาจจะเป็นเหตุของวิกฤติแบบที่ 2 ที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงด้วย
ตลาดคริปโตจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
สุดท้ายนี้ตลาดคริปโตเองก็คงจะได้รับผลกระทบเช่นกัน หากวิกฤตฟองสบู่ครั้งถัดไปมาถึง เพราะคริปโตเองปัจจุบันก็จัดอยู่ในหมวดหมู่ของสินทรัพย์เสี่ยงที่มีความผันผวนสูง แม้กระทั่ง Bitcoin ที่ถูกมองว่าเป็นที่เก็บรักษามูลค่าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตตามสถิติแล้วมักจะฟื้นตัวได้รวดเร็วหลังเกิดภาวะวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็น Covid หรือ FTX แต่ทว่าด้วยความที่ Bitcoin เพิ่งถูกสร้างขึ้นโดย ซาโตชิ นากาโมโตะ ภายหลังวิกฤตซับไพร์ม ทำให้ตัวของตลาดคริปโตเองยังไม่เคยเผชิญหน้ากับ “วิกฤติโลก” ที่แท้จริงเลยสักครั้ง ทำให้ไม่อาจทราบได้ว่าความเสียหายจะลุกลามมากน้อยแค่ไหน
ที่มา : settrade

