<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ก.ล.ต. สหรัฐฯ ยุคทรัมป์เปลี่ยนท่าที ยกฟ้องคดีคริปโต กว่า 60% ส่อเค้า “Regime Shift” ครั้งใหญ่ในวงการ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

(15 ธ.ค. 2025) – วงการสินทรัพย์ดิจิทัลสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อรายงานล่าสุดจาก Cointelegraph ที่อ้างอิงผลการสืบสวนเชิงลึกของ The New York Times เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (ก.ล.ต.) ได้ลดระดับความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายกับอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีลงอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงท่าทีที่ชัดเจนนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณถึงทิศทางนโยบายที่เป็นมิตรต่อตลาดคริปโทฯ มากขึ้นภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่

ข้อมูลจากการสืบสวนระบุสถิติที่น่าตกใจว่า จากคดีความที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ ทั้งหมด 21 คดีที่ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา ก.ล.ต. สหรัฐฯ ได้ดำเนินการผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายไปแล้วมากกว่า 60% โดยมีการยกฟ้องคดีไปโดยสิ้นเชิงถึง 7 คดี ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการยกฟ้องในคดีหลักทรัพย์ทั่วไปอื่นๆ ที่มักจะมีสัดส่วนเพียงแค่ 4% แล้ว ตัวเลขที่สูงผิดปกตินี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลแบบหน้ามือเป็นหลังมือที่กำลังเกิดขึ้นในวอชิงตัน ดี.ซี.

ผลจากการปรับเปลี่ยนท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมหลายรายที่เคยตกเป็นเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น Coinbase, Binance และ Gemini ต่างได้รับอานิสงส์จากการที่คดีความถูกระงับหรือยกเลิกไป อย่างไรก็ตาม รายงานยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นความเชื่อมโยงทางการเมือง โดยระบุว่ามีคดีที่ถูกยกฟ้องอย่างน้อย 3 คดีที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้บริจาคเงินสนับสนุนรายใหญ่ของทรัมป์ เช่น พี่น้องฝาแฝด Winklevoss ซึ่งทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระในการตัดสินใจของหน่วยงานกำกับดูแล

แม้จะมีข้อกังขาเรื่องอิทธิพลทางการเมือง แต่ปฏิกิริยาจากชุมชนคริปโทฯ บนแพลตฟอร์ม X ส่วนใหญ่ต่างขานรับความเคลื่อนไหวนี้ โดยมองว่าเป็น “การเปลี่ยนผ่านระบอบ” (Regime Shift) ครั้งสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพของตลาดที่ถูกกดทับด้วยกฎระเบียบมาอย่างยาวนาน ผู้ใช้งานส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการที่ความเสี่ยงด้านกฎหมายลดน้อยลง จะเป็นตัวเร่งให้เงินทุนสถาบันหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดมากขึ้น และเปิดทางให้นวัตกรรมต่างๆ ในโลกบล็อกเชนเติบโตได้อย่างเต็มที่

ที่มา: @Cointelegraph