ปี 2024 นี้นับเป็นปีที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญ และนักวิเคราะห์หลายคนต่างคาดการณ์กันว่าจะเป็น “ปีทอง” ของคริปโตเคอร์เรนซี สังเกตุได้จากวัฏจักรของ Bitcoin และตลาดในรอบที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งโดยปกติแล้วช่วงหลังการ halving ประมาณ 6 เดือน ตลาดจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ราคาของเหรียญคริปโตต่าง ๆ พุ่งทะยานทะลุสถิติเดิม
ด้วยความที่ตลาดกำลังร้อนแรงเป็นอย่างมากจึงส่งผลให้อาจมีนักลงทุนหน้าใหม่ที่สนใจคริปโตเข้ามายังตลาดเป็นจำนวนมาก แต่นักลงทุนกลุ่มนี้อาจยังไม่มีทักษะ หรือประสบการณ์มากพอที่จะเทียบชั้นกับนักเทรดรุ่นเก๋าได้ จึงอาจใช้วิธีการ DCA หรือ Buy the Dip เพื่อลดความเสี่ยงไปก่อน ดังนั้นในบทความนี้ สยามบล็อกเชนจะเทียบให้เห็นว่าทั้งสองวิธีนี้ อันไหนจะให้ผลตอบแทนดีกว่ากัน
Dollar Cost Averaging (DCA) คืออะไร ?
การ DCA แปลเป็นภาษาไทยง่าย ๆ เลย คือการ “ถัวเฉลี่ย” ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะสมกับนักลงทุนที่ไม่มีความรู้มาก หรือไม่มีเวลา เนื่องจากวิธีนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งดูกราฟทุกวัน ๆ ขอเพียงแค่คุณซื้อคริปโตด้วยเงินเฟียตเป็นจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือน แล้วค่อยขายสินทรัพย์ออกไปในขณะที่มูลค่าขึ้นสูง อย่างไรก็ตามการจะทำ DCA ได้นักลงทุนต้องมั่นใจว่าอนาคตของเหรียญจะต้องสดใสถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน โดยเหรียญที่นักลงทุนคริปโตส่วนใหญ่นิยม DCA จะประกอบไปด้วย Bitcoin และ Ethereum เนื่องจากเหรียญมีโอกาสที่จะสูญเสียมูลค่าน้อย เมื่อเทียบกับเหรียญ Altcoin ตัวอื่น ๆ รวมถึงเหรียญประเภท Memecoin ที่ดูไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการ DCA
ข้อดีของการ DCA
- ไม่เครียด เพราะนักลงทุนไม่จำเป็นต้องดูกราฟทุกวัน ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวน และ ปัจจัยทางจิตวิทยา
- เหมาะจะเป็นเงินออมระยะยาว
- ใช้เงินต้นเท่าเดิมตลอดการออม
ข้อเสียของการ DCA
- ใช้วินัยและความอดทนสูง
- พลาดโอกาสในการเข้าซื้อ หรือทำกำไรจากความผันผวนของตลาด
Buy the Dip (BTD) คืออะไร
BTD เป็นการช้อนเหรียญจำนวนมากขณะที่ราคามันลดต่ำลง โดยใช้เงินเฟียตที่เราแบ่งส่วนเก็บไว้ทุกเดือน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราได้เหรียญมากขึ้นขณะที่ใช้ต้นทุนเท่าเดิม อย่างไรก็ตามนักลงทุนไม่สามารถคาดการณ์ได้แน่ชัดว่าเมื่อไรจะเป็นช่วงที่เราจะซื้อเหรียญได้ในราคาต่ำที่สุด เพราะเราไม่สามารถคาดเดาตลาดได้แม่นยำในทุกครั้ง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการซื้อในราคาที่ลดลงมาจากจุดสูงสุดเดิมที่ 10 , 20 และ 30 %
ข้อดีของการ BTD
- ซื้อเหรียญได้มากในราคาที่ต่ำกว่าปกติ
- สภาพคล่องดีกว่าการ DCA เพราะมีเงินสดไว้หมุนในบัญชี
- มีโอกาสทำกำไรได้สูงจากความผันผวนของตลาด
- ไม่ต้องซื้อบ่อย ๆ
ข้อเสียของการ BTD
- ความเสี่ยง และความเครียดที่สูงกว่าการทำ DCA
- ต้องติดตามข่าวสาร หรือ ดูกราฟ อยู่เป็นประจำ
- ราคาที่ซื้ออาจไม่ใช่จุดต่ำสุดเสมอไป
- อาจรวมเงินได้ไม่พอตอนราคาร่วงครั้งใหญ่
เปรียบเทียบผลลัพธ์ของทั้งสองวิธี
เพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายเราจะลองเปรียบเทียบกันดูว่า วิธีไหนจะได้รับผลตอบแทนที่มากที่สุดกัน โดยในครั้งนี้เราจะทำการเทียบการซื้อ Bitcoin อย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 1 ปี นับจากเดือนมิถุนายน 2023 มาจนถึงปี 2024 ด้วยเงินจำนวน 100 ดอลลาร์ ในทุก ๆ เดือน (รวมทั้งสิ้น $1,200) และขายออกในราคาปัจจุบัน 68,786 ดอลลาร์
จากการ DCA จะพบว่าหากนักลงทุนตัดสินใจออมเหรียญมาเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม จะทำให้เงินลงทุนของเราเพิ่มขึ้นเป็น 2,140 ดอลลาร์ สามารถสร้างกำไรให้เราได้ถึง 78.33% ซึ่งคิดเป็นกำไรสุทธิอยู่ที่ 940 ดอลลาร์
ขณะที่หากทำการ BTD สมมติว่าเราจะซื้อที่จุดต่ำสุดในทุก ๆ ไตรมาสด้วยเงินจำนวน 300 ดอลลาร์ เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง จะทำให้เรามีเงินเพิ่มเป็น 2,232 ดอลลาร์ สามารถสร้างกำไรให้เราได้ถึง 86% ซึ่งคิดเป็นกำไรสุทธิอยู่ที่ 1032 ดอลลาร์ *อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวคือการเข้าซื้อที่จุดต่ำสุดในทุก ๆ 3 เดือน*
ดังนั้นหากมองดูคร่าว ๆ จากผลลัพธ์จะเห็นได้ว่าวิธีการ BTD จะทำผลงานได้ดีกว่าเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเราอาจทำกำไรได้น้อยกว่านี้ก็เป็นได้ เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าราคาที่ซื้อไปนั้นเป็นจุดต่ำสุดหรือไม่ ซึ่งหากเทียบกับข้อมูลราคา Bitcoin จะพบว่าการทำ BTD แบบรายไตรมาสนั้นได้ทำให้เราพลาดโอกาสในการลงทุนครั้งใหญ่ไปหลายต่อหลายครั้ง
ทว่า หากเราลองแหกกฎและนำเงินอนาคตมาใช้ลงทุนครั้งใหญ่ก่อน การ BTD จะได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ลงทุนซื้อ Bitcoin เป็นเงิน $1,200 ในขณะที่ราคา Bitcoin อยู่ที่ $25,000 (จุดต่ำสุด) จะทำให้เราได้กำไรกว่า $2,100 ดอลลาร์ แต่ถ้าหากเราลงทุนไปขณะที่ Bitcoin ราคา $40,000 จะทำให้เราได้กำไรแค่เพียง $864 ดอลลาร์ แสดงให้เห็นว่าการอดทนลงก้อนใหญ่หมดหน้าตักนั้นถ้าไม่สามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำสุดจริง วิธีดังกล่าวจะอันตรายเป็นอย่างมาก
สรุปแล้วเราควรจะเลือกวิธีไหนดี ?
สรุปแล้วหากตัดปัจจัยอื่น ๆ ออกจะพบว่า DCA เป็นวิธีการที่ดีที่สุดแม้จะมีกำไรที่น้อยกว่าแต่ก็แลกมากับความเครียดที่ลดลงและความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การ BTD แม้จะสามารถทำกำไรได้มากกว่าแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะมาชดเชยความเสี่ยงได้ ดังนั้นสำหรับคำตอบว่าวิธีไหนนั้นดีที่สุด ก็คงจะขึ้นอยู่กับความสบายใจและความถนัดของนักลงทุนเอง ว่าอยากจะเก็บออมสบาย ๆ หรือมาลองลุ้นกันสักตั้ง
อย่างไรก็ตามทางเทคนิคแล้วเราสามารถนำวิธีทั้งสองมาผสมรวมกันได้เพื่อให้ได้กำไรที่มากที่สุด แต่วิธีดังกล่าวนั้นใช้ทั้งแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก จึงอาจไม่แนะนำให้ทำตาม
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้