วันที่ 15 ธ.ค. 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 31.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง นับตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย. 2564 สอดคล้องกับทิศทางการแข็งค่าของสกุลเงินในฝั่งเอเชีย ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยหลักมาจากท่าทีของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่สะท้อนความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดเพิ่มน้ำหนักคาดการณ์ว่า เฟดอาจเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปี 2569 หลังจากเพิ่งปรับลดดอกเบี้ยลงมาอยู่ในกรอบ 3.50-3.75% ในการประชุม FOMC วันที่ 9-10 ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้เงินดอลลาร์เผชิญแรงขายอย่างชัดเจน
ในฝั่งสินทรัพย์ดิจิทัล Bitcoin เช้าวันนี้ราคาปรับตัวขึ้นราว 2,000 ดอลลาร์ กลับมาเคลื่อนไหวแถวระดับ 90,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับราคาช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่อยู่ใกล้เคียงระดับเดียวกัน เท่ากับว่าราคา Bitcoin ยังอยู่ในภาวะ “ทรงตัว” หรือราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
ขณะที่อีกหนึ่งปัจจัยหนุนค่าเงินบาท คือการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก โดยราคาทองคำเช้าวันนี้ปรับขึ้นประมาณ 1% จากวันศุกร์ จากระดับประมาณ 4,300 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 4,340 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ซึ่งช่วยหนุนกระแสเงินทุนและค่าเงินในภูมิภาค
สำหรับสัปดาห์วันที่ 15-19 ธ.ค. 68 ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทไว้ที่ 31.40-32.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 17 ธ.ค., ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด, ทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้าย ค่าเงินเอเชีย ราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงปัจจัยการเมืองภายในประเทศและสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราว่างงาน ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ยอดขายบ้านมือสอง ดัชนี PMI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงผลการประชุมของธนาคารกลางหลักอย่าง BOE, ECB และ BOJ ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนพฤศจิกายน ซึ่งทั้งหมดจะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางค่าเงินและตลาดการเงินโลกในระยะถัดไป

