เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค. 68) กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงาน ก.ล.ต. ออกมาแถลงความคืบหน้ามาตรการดูแลค่าเงินบาท หลังพบการแข็งค่ารวดเร็วผิดปกติ จนไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยย้ำชัดว่า “ USDT ไม่ใช่ตัวการ” ขณะที่ธุรกรรมซื้อขายทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ถูกชี้เป็นต้นเหตุหลัก
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้วราว 9.4% ถือว่าแข็งที่สุดกลุ่มหนึ่งในภูมิภาค และเฉพาะเดือนล่าสุดเพียงเดือนเดียว แข็งค่าขึ้นถึง 4.2% ซึ่งเร็วเกินกว่าที่ปัจจัยเศรษฐกิจจริงจะอธิบายได้ การตรวจสอบเชิงลึกพบว่า แรงขายเงินดอลลาร์จากการซื้อขายทองคำมีสัดส่วนสูงถึง 45–62% ของแรงขายดอลลาร์ทั้งประเทศในบางช่วงเวลา
ข้อมูลของ ธปท. ระบุว่า ธุรกรรมทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในปัจจุบันมีผู้ค้ารายใหญ่ราว 15 ราย และมีรายใหญ่จริงๆ เพียง 2–3 ราย โดยในปี 2567 มูลค่าธุรกรรมรวมคิดเป็น 39% ของ GDP และในช่วงปัจจุบันมีแนวโน้มจะทะลุ 50% ของ GDP ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท สูงกว่ามูลค่าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เฉลี่ยวันละ 4.2 หมื่นล้านบาท และในวันที่ราคาทองผันผวนรุนแรง ปริมาณการเทรดเคยพุ่งสูงถึง 2.55 แสนล้านบาทต่อวัน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพค่าเงินบาท
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปออกมาตรการ 3 ด้านเพื่อรับมือสถานการณ์ ได้แก่
(1) การกำหนดให้แพลตฟอร์มซื้อขายทองคำออนไลน์ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมต่อกรมสรรพากรเช่นเดียวกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั่วไป
(2) การศึกษาการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการซื้อขายทองคำออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีเก็งกำไรที่ไม่มีการส่งมอบทองคำจริง
(3) การแก้ประกาศกระทรวงการคลังเพื่อเปิดทางให้ ธปท. มีอำนาจกำกับดูแลธุรกิจทองคำ รวมถึงการพิจารณากำหนดเพดานวงเงินสำหรับธุรกรรมที่ผิดปกติ เช่น การซื้อขายหมุนเวียนหลายรอบต่อวันในวงเงินสูงมาก
นายลวรณ ระบุว่า สองมาตรการแรกอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสรรพากร ส่วนมาตรการด้านกำกับดูแลจะอยู่ภายใต้ ธปท. โดยคาดว่า การแก้ประกาศและการเปิดรับฟังความคิดเห็นจะแล้วเสร็จภายในช่วง 2–3 สัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2569 พร้อมย้ำว่า มาตรการทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่นักลงทุนรายใหญ่ที่เก็งกำไรหลักร้อยล้านถึงพันล้านบาทต่อวันผ่านแอปพลิเคชัน ไม่กระทบประชาชนทั่วไปที่ซื้อทองรูปพรรณหรือทองแท่งตามร้านทองเพื่อออมหรือใช้งานจริง
ขณะที่นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. ออกมาชี้แจงเพื่อลดความเข้าใจผิดในฝั่งคริปโต โดยยืนยันว่า การซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ USDT ไม่ใช่สาเหตุของเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากสัดส่วนธุรกรรมเมื่อเทียบกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (FX Inflow) อยู่เพียง 0.17–1.22% เท่านั้น และธุรกรรมส่วนใหญ่ไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนเป็นเงินเฟียตในระดับที่กระทบค่าเงิน
นอกจากนี้ ธปท. ยังเตรียมเพิ่มความเข้มงวดให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินดอลลาร์ที่นำเข้าประเทศ เพื่อป้องกันการนำเงินเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินเพียงอย่างเดียว สะท้อนท่าทีชัดเจนของภาครัฐที่ต้องการสกัดแรงเก็งกำไรขนาดใหญ่ พร้อมแยกให้ชัดว่า “ทองคำออนไลน์คือประเด็นหลัก ส่วนคริปโตอย่าง USDT ไม่ใช่จำเลยในคดีเงินบาทแข็งรอบนี้”
ที่มา:Posttoday

