หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่าธนาคารทั่วโลกนั้นสามารถตรวจสอบการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับคริปโตได้อย่างไร และมีกระบวนการใดบ้างที่พวกเขาใช้ในการตรวจสอบ ในบทความนี้เราจะหาคำตอบไปด้วยกัน
เพราะเหตุใดการปฏิบัติตามข้อกำหนดการต่อต้านการฟอกเงินจึงมีความสำคัญต่อสถาบันการเงิน ?
ธนาคารและสถาบันการเงินนั้นมีความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อต่อต้านการฟอกเงิน, การจัดหาเงินทุนเพื่อการก่อการร้ายและการหลีกเลี่ยงภาษีรวมทั้งจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมายเหล่านี้
เนื่องด้วยธนาคารทุกแห่งมีกฏที่ต้องจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงไว้ในแผนธุรกิจของพวกเขา ดังนั้นเมื่อต้องมีการจัดการกับสกุลเงินดิจิทัล พวกเขาจึงต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
สถาบันการเงินจะสามารถตรวจสอบกิจกรรมคริปโตของลูกค้าได้อย่างไร ?
เมื่อพูดถึงการป้องกันการฟอกเงินในเงินสดแบบดั้งเดิม ธนาคารจำเป็นต้องมีการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมจำนวนหนึ่งเพื่อให้แน่ใจได้ว่า พวกเขาสามารถจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับสกุลเงินดิจิทัล
แม้ว่าความจริงการเปิดเผยตัวตนของผู้ทำธุรกรรมคริปโตนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ก็สามารถทำได้ เนื่องจากลูกค้าที่ทำธุรกรรมโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีการยืนยันตัวตน KYC กับทางกระดานแลกเปลี่ยนหรือเว็บเทรด ดังนั้นเมื่อพวกเรามีการฝาก-ถอน เงิน ทางธนาคารก็จะสามารถตรวจสอบได้นั้นเอง
มีกระบวนการใดบ้างที่สถาบันการเงินจำเป็นต้องจำกัดความเสี่ยงเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ?
เนื่องจากธนาคารและสถาบันการเงินนั้นต้องการความสามารถในการติดตามธุรกรรม การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์ และความสามารถในการประเมินระดับความเสี่ยง ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงวอลุ่มและความเร็วของธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง พวกเขาต้องมีระบบแจ้งเตือนที่คอยอัปเดตข้อมูลให้อัตโนมัติเกี่ยวกับกิจกรรมที่อาจผิดกฎหมายเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติม
ดังนั้นหน่วยงานปฏิบัติการทางการเงินหรือ FATF จึงได้เปิดตัวตัวชี้วัดที่มีชื่อว่า “ธงแดง” ซึ่งสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ได้ว่ามีคนผิดกระทำผิด โดยปัจจุบันเขตอำนาจศาลและกระดานแลกเปลี่ยนทั่วโลกหลายแห่งเริ่มมีการใช้แนวทางตาม FATF แล้ว
ตัวชี้วัดสถานะ “ธงแดง” ของ FATF นั้นจะทำการระบุธุรกรรมที่อาจเกี่ยวข้องกับการชำระเงินในจำนวนเล็กน้อยหรือในปริมาณซ้ำ ๆ กัน นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มสัญลักษณ์ “ระฆัง” หากมีการส่งเงินไปยังบัญชีที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่หรือบัญชีที่ไม่ได้ใช้งานก่อนหน้านี้
รูปแบบของการทำธุรกรรมยังสามารถกระตุ้นเกิดความสงสัยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการฝากเงินนั้นไม่สอดคล้องกับโปรไฟล์ของลูกค้า
ซอฟต์แวร์วิเคราะห์บล็อกเชนทำงานอย่างไร ?
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมขาเข้าและขาออกสามารถกำหนดได้โดยซอฟต์แวร์วิเคราะห์ บล็อกเชน ที่ครอบคลุมตั้งแต่การชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลหรือกระเป๋าเงินหลายรายการ ตลอดจนถึงธุรกรรมที่ดูเหมือนจะไม่มีคำอธิบายทางธุรกิจที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ซอฟต์แวร์ยังสามารถรวบรวมข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปโดยรวบรวมข้อมูลอัจฉริยะจากหน่วยงานที่ทำการโอนบ่อยครั้งในช่วงเวลาที่กำหนด
บริษัทซอฟต์แวร์ที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเช่น Crystal Blockchain จะช่วยตรวจสอบรูปแบบการทำธุรกรรมที่น่าสงสัยและเพื่อช่วยให้สถาบันการเงินเข้าใจถึงแหล่งที่มาของเงินทุนและความมั่งคั่งของลูกค้า ที่สำคัญพวกเขายังสามารถระบุได้ว่า คริปโตที่ใช้ในการทำธุรกรรมนั้น ๆ ถูกขโมยหรือฉ้อโกงมาหรือไม่