อดีตเว็บเทรด Bitcoin สัญชาติไทยที่เคยประกาศเปิดตัวเมื่อช่วงปี 2018 แต่ก็ต้องปิดตัวลงเนื่องจากล้มเหลวในการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง จนส่งผลทำให้มีปัญหากับลูกค้าเนื่องจากว่าไม่สามารถคืนเงินให้กับนักลงทุนได้ทั้งหมดนามว่า CoinAsset นั้น ล่าสุดผู้ก่อตั้งบริษัทนาย ศิวนัส ยามดีได้ออกมาเปิดเผยถึงสาเหตุที่แท้จริง เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในระหว่างดำเนินการชดเชยเหรียญคืนให้กับนักลงทุน
ในเบื้องต้น นาย ศิวนัสเล่าว่าหลังจากที่เว็บเทรดได้ปิดตัวลงในปี 2019 และมีการฟ้องร้องจากกลุ่มลูกค้าผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบนั้น บริษัทพบว่าสินทรัพย์คริปโตที่ทางเว็บเทรดค้างจ่ายคืนให้กับนักลงทุนมากที่สุดนั่นก็คือเหรียญ Jfin coin และทางบริษัทได้เร่งการตรวจสอบในขั้นต้นว่า เหรียญจำนวนทั้งหมดนั้นไปอยู่ที่ใด
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหรียญ JfinCoin ส่วนใหญ่ (ที่มีจำนวนมากกว่าล้านเหรียญขึ้นไป) นั้น บริษัททีมนักพัฒนา Software ของบริษัท Coinassset เป็นผู้ถือ Private key และบริษัทได้มีเรียกร้องขอ Private key คืนจากทีมผู้นักพัฒนา แต่นักพัฒนาได้มีการทวงถามเงินค่าจ้างในการพัฒนาโปรเจกต์เหรียญ Jfin coin ซึ่งเบื้องต้น นาย ศิวนัส ยอมรับว่าในช่วงเวลานั้นบริษัทกำลังอยู่ในช่วงวิกฤตและไม่ได้มีการจ่ายเงินค่าจ้างให้กับทีมนักพัฒนา ทำให้นักพัฒนาไม่ยอมคืน Private key ของเหรียญ Jfin coin และใช้คีย์นี้เป็นหลักประกันสำหรับเงินค่าจ้างของพวกเขา
อย่างไรก็ตามในภายหลังจากนั้น ทางผู้เสียหายได้มีการฟ้องร้องคดีในส่วนนี้กับทางบริษัททีมนักพัฒนา เนื่องจาก Private key ในส่วนนี้เป็นของผู้เสียหาย ไม่ใช่สินทรัพย์ของ Coinasset ทำให้ทางทีมนักพัฒนาต้องยอมคืนเหรียญส่วนนี้ให้กับทางผู้เสียหายในที่สุด
บริษัทกฎหมายตัวแทนของนักลงทุน
เรื่องราวนี้ดูเหมือนจะจบลงด้วยดี จนกระทั่งบริษัทกฎหมายที่รับได้การแต่งตั้งจากนักลงทุนให้เป็นตัวแทนในการฟ้องร้องคดีกับบริษัทนักพัฒนา ได้เข้ามารับหน้าที่เป็นตัวกลางบุคคลที่ 3 ในการรับมอบ Private key และแจกจ่ายเหรียญ Jfin coin คืนให้กับนักลงทุน
ทาง Coinasset เล่าว่า หลังจากทางบริษัทได้ทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทกฎหมายรายนี้ บริษัทได้เลือกเดินออกจากวงการคริปโตเพื่อมองหาธุรกิจอื่น และในช่วงระหว่างนั้น
บริษัทได้มีการโอกาสแวะเวียนเข้ามาเช็คความคืบหน้าเกี่ยวกับวงการคริปโตอยู่เป็นระยะ ๆ และพบว่ามีผู้เสียหายบางส่วนเริ่มได้รับเหรียญ Jfin coin คืนแล้ว ทำให้บริษัทเริ่มโล่งใจอีกหนึ่งเปราะ
แต่ต่อมาเมื่อไม่นานนี้ ประมาณวันที่ 6 พฤศจิกายน บริษัทเล่าว่ามีผู้เสียหายจากเหรียญ Jfin coin ได้ติดต่อเข้ามายังบริษัท พร้อมกล่าวว่ายังไม่ได้รับเหรียญ Jfin coin และเหตุผลที่ไม่ได้รับเหรียญคืนนั้นก็เพราะยังไม่ได้รับการอนุมัติการทาง Coinasset ซึ่งทางบริษัทก็ได้มีการติดต่อไปยังบริษัทกฎหมายทันที
ในเบื้องต้นทางบริษัทกฎหมายแจ้งว่า เหรียญ Jfin นั้นได้มีการแจกจ่ายไปหมดแล้ว และได้มีการสรุปข้อมูลการแจกจ่ายเหรียญคืนมาให้กับบริษัท โดยหลังจากที่มีการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นทาง Coinasset พบว่า บริษัทบุคคลที่ 3 นั้นมีการหักค่าธรรมเนียมตามคำพิพากษา และได้มีการหักจากไปเหรียญ Jfin coin ของนักลงทุนผู้เสียหาย
ทั้งนี้บริษัทยอมรับว่าไม่ได้มีการตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาที่ทำร่วมกับบริษัทกฎหมายให้ถี่ถ้วนและพบว่าในสัญญาบริษัทได้มีการเซ็นยินยอมมอบเงินบำเหน็จสินจ้างให้กับทางบริษัทกฎหมายบุคคลที่ 3 เป็นมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลร้อยละ 10% ต่อเดือน คำนวณจากราคาหรือมูลค่าตลาดเฉลี่ยของเหรียญ Jfin coin
บำเหน็จสินจ้างต่อเดือน – ร้อยละ 10 x (จำนวนสินทรัพย์ติจิหัล JFin Coln ที่เหลือ ณ วันสุดท้ายของเดือนนั้น ๆ x ราคาหรือมูลค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์ดิจทัล JFin Coin ที่มีการซื้อขายบน Exchange ในประเทศไทย ณ วันสุดท้ายเดือนนั้น ๆ)
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทกฎหมายไม่มีสิทธิ์หักเงินของเหรียญ Jfin coin ไปเนื่องจากเงินส่วนนี้เป็นเงินส่วนกลางของนักลงทุน และไม่ใช่สินทรัพย์ของทาง Coinasset ดังนั้นทางบริษัทไม่มีสิทธิ์ที่จะขายเหรียญ Jfin เพื่อเปลี่ยนไปเป็นเงินบำเหน็จสินจ้าง
บริษัทกฎหมายมีสิทธิ์ขายเหรียญ Jfin หรือไม่
จากเรื่องราวนี้หลายคน รวมถึงตัวนักเขียนสยามบล็อกเชนเองมองว่า บริษัทกฎหมายรายนี้ไม่ควรที่จะขายเหรียญ Jfin เนื่องจากเงินส่วนนี้เปรียบเสมือนเงินกองกลางของผู้เสียหาย และมันจะมีผลเสียมากกว่าผลดีหากบริษัทบุคคลที่ 3 เทขายเหรียญของนักลงทุน
โดยทางผู้เขียนมองว่าบริษัทกฎหมายไม่ควรที่จะซ้ำเติมผู้เสียหายด้วยการขายเหรียญ Jfin Coin เพื่อเปลี่ยนไปเป็นเงินค่าบำเหน็จสินจ้าง เพราะนอกจากผู้เสียหาย Jfin coin จะไม่ได้รับเหรียญคืนเต็มจำนวนแล้ว ราคาเหรียญ Jfin coin ยังจะได้รับผลกระทบจากการเทขายเหรียญอีกด้วย ซึ่งก็คือมูลค่าของเหรียญร่วงที่จะลดลงตามมาในภายหลัง
ใครควรรับหน้าที่เป็นผู้จ่ายเหรียญคืนให้นักลงทุน
จากเรื่องราวที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เราจะสังเกตเห็นได้ว่า กระบวนกฎหมายในบ้านเราที่ยังมีช่องโหว่มากมายทั้งในเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการจัดหาคนกลางที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ ในการแจกจ่ายเหรียญคริปโตคืนให้กับนักลงทุน
ซึ่งในส่วนนี้ศาลหรือผู้ที่เกี่ยวข้องคดีด้านคริปโตควรแต่งตั้ง ศูนย์ซื้อขายบริการแลกเปลี่ยนหรือ Exchange ที่ได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต.เพื่อเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการแจกจ่ายเหรียญคืนให้กับนักลงทุน ด้วยความพร้อมในหลายด้าน ๆ ที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นตามมาได้ในภายหลัง