ราคาของบิทคอยน์นั้นค่อยข้างยากที่จะทำนายเนื่องจากมีปัจจัยที่หลากหลายที่ส่งผลต่อราคา แต่ทว่ามีเหตุการณ์ทั้งหมด 6 เหตุการณ์ด้วยกันที่อาจจะส่งผลให้ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นสูงอีกในปีหน้านี้ โดยทั้งหมดนี้ประกอบไปด้วยการเปิดใช้งาน Segregated Witness หรือ Segwit, การเปิดตัวของ Lightning Network และ Tumbleit, รวมไปถึงการรับรอง Bitcoin ETFs, และความล้มเหลวของการบริหารเงินและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลก
Segwit, Lightning, Tumbleit
เซกวิท, ไลท์นิงและทัมเบิลอิท เป็นเทคโนโลยีทางออกใหม่ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อรองรับการรับส่งบิทคอยน์ในขนาดที่ใหญ่ขึ้น เพื่อที่จะจัดการปัญหาของผู้ใช้งานที่เริ่มมีมากขึ้นทุกวัน
เท่าที่ดูแล้ว Segwit น่าจะเป็นตัวที่มีแนวโน้มที่จะถูกเลือกมากที่สุดอันเนื่องมาจากการซัพพอร์ทของระบบกระเป๋าเงิน, สตาร์ทอัพและผู้ขุดเหรียญ โดยมีบิทโนดเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท 21 Inc., เจ้าของของบิทโนดกล่าวว่ามีมากกว่า 39.3% ของโนดที่ซัพพอร์ท Segwit และเมื่อ Segwit เปิดทำการใช้งานจนถึงเป้าหมายที่วางไว้แล้ว (ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ต้องการการคอนเฟิร์ม 95% จากเครื่องขุด) เมื่อนั้นมันจะทำการเพิ่มขนาดของบิทคอยน์เน็ทเวิร์คประมาณ 2.1 เท่าเป็นอย่างน้อย อ้างอิงจากงานวิจัยของ Alex Petrov แห่ง Bitfury
งานวิจัยจาก Whale Panda ซึ่งนำเอางานของนาย Petrov มาอ้างอิงนั้น กล่าวได้ว่า “ขนาดที่แท้จริงของ 1 บล็อคที่รันอยู่บน Segwit จะขึ้นอยู่กับประเภทของการส่งบิทคอยน์ อย่างไรก็ตามการใช้จ่ายที่มีขนาด 1.7 เมกกะไบท์ถูกอ้างอิงกับข้อมูลเก่าสมัยเมื่อเดือนมกราคมเมื่อปีที่แล้ว ส่วนในขณะนี้ มันน่าจะมีขนาดราวๆ 2.1 เมกกะไบต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ในส่วนของ Lightning และ Tumbleit นั้นก็จะมีเป้าหมายเดียวกันคือช่วยเพิ่มขนาดของบิทคอยน์เน็ทเวิค แต่วิธีการค่อนข้างที่จะแตกต่างกับของ Segwit โดยแทนที่จะทำกการเพิ่มขนาดของบล็อคของบิทอคยน์นั้น Lightning จะทำการเปิดใช้งานระบบ micropayment แบบรวดเร็วที่ในทางปฏิบัติจริงไม่สามารถทำได้อันเนื่องมาจากระยะเวลาของการโอนบิทคอยน์
นอกเหนือจากการเพิ่มขนาดเน็ทเวิคแล้วนั้น Tumbleit ยังสามารถที่จะช่วยทำให้ผู้ที่ใช้งานไร้ตัวตน ทำให้สามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระและตรวจจับไม่ได้แบบ 100%
โดยการเปิดใช้งานสามสิ่งนี้เองอาจจะส่งผลให้ราคาของบิทคอยน์เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากมันช่วยสร้างประสิทธิภาพและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ผู้ใช้งานมากขึ้น
การรับรอง Bitcoin ETFs
บิทคอยน์ อีทีเอฟหรือกองทุนบิทคอยน์กำลังเป็นที่ถูกวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินหลายๆคนว่ามันจะเป็นโปดักชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้บิทคอยน์เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปได้ โดยนักลงทุนกระเป๋าหนา และเทรดเดอร์สามารถที่จะซื้อและเป็นเจ้าของบิทคอยน์ผ่านตลาดหุ้น หรือระบบซื้อขายที่ถูกกฏหมาย
ในขณะนี้ มีผู้ให้บริการซื้อขายกองทุนบิทคอยน์อยู่สองเจ้าที่กำลังรอการอนุญาตการขึ้นทะเบียนจาก SEC อยู่ คือสองพี่น้อง Winklevoss ที่เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทพันล้าน State Street เพื่อช่วยให้ SEC เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของกองทุนบิทคอยน์ที่พวกเขากำลังจะเปิดให้บริการ
และยังมีกองทุน SolidX ที่เคยดูเหมือนว่ากำลังจะไปได้สวยจนกระทั่งพวกเขาถูกทำให้ชะลอโดย SEC แบบจงใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดย SolidX ต่างจากสองพี่น้อง Winklewoss ตรงที่พวกเขาจำเสนอบริการประกันภัยให้นักลงทุนด้วย ซึ่งอาจจะดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามามากขึ้นเนื่องจากการลงทุนบนกองทุนนั้นมีความเสี่ยงต่ำกว่า
เมื่อสองบริษัทผู้ให้บริการกองทุนบิทคอยน์ถูกอนุมัติโดย SEC แล้ว อาจจะทำให้ผู้บริโภคทั่วไปหันมาหาบิทคอยน์กันมากขึ้น รวมถึงเทรดเดอร์กระเป๋าหนาอีกด้วย
ความล้มเหลวของการบริหารเงินและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั่วโลก
ระบบการเงินของทั่วโลกและเศรษฐกิจกำลังตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ซึ่งอาจมีแนวโน้มที่จะจุดประกายให้ราคาบิทคอยน์ติดจรวดทยานขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ถ้าหากรัฐบาลยังพยายามที่จะควบคุมและสร้างกฏเกณฑ์ทางด้านการเงินที่ไม่เป็นธรรมโดยไม่คำนึงถึงประชาชนแล้ว ก็จะมีกลุ่มคนและหน่วยงานเอกชนอีกจำนวนมากเริ่มที่จะออกมามองหาตัวเลือกใหม่ๆเช่นบิทคอยน์
บิทคอยน์มีสภาพคล่องสูง บวกกับความสะดวกในการครอบครอง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะสามารถดึงดูดผู้ใช้งานใหม่ๆได้ โดยเฉพาะในจีนและเวเนซุเอล่า โดยเป็นสองประเทศที่มีกฏหมายด้านการเงินที่แน่นหนา
ภาพจาก Australian Nation Review
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น