เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท LogRhythm ผู้ซึ่งช่วยเหลือหลายๆบริษัทอื่นๆในการป้องกันการจู่โจมทางไซเบอร์ได้เผยถึงการทำนายทั้งหมดเจ็ดข้อที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ โดยหากอ้างอิงจากพวกเขานั้น พวกเขาบอกว่าระบบอินเทอร์เนตจะถูกปิดการใช้งานเป็นเวลา 1 วัน
นาย James Carder หรือผู้บริหารและรองประธานของ LogRythm ได้ออกมากล่าวว่า
“พวกเราได้เห็นการโจมตีแบบ DDoS ต่อ DynDNS เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์อย่าง Twitter, Netflix, Spotify และ Amazon ไม่สามารถเข้าใช้งานได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง พวกเรายังได้เห็นการโจมตีในรูปแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับ Brian Krebs ก่อนหน้าที่จะมีการโจมตี Dyn”
นาย James ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าการโจมตีที่ผ่านมาเป็นแค่การทดสอบ และจะได้เห็นของจริงที่จะเกิดขึ้นกับระบบโพรโตคอลของอินเทอร์เนตในอีกไม่ช้านี้ เขายังกล่าวอีกว่า
“ถ้าหากคุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณสามารถทำให้เว็บไซต์ใหญ่ๆและอินเทอร์เนตในหลายๆเมืองในสหรัฐฯล่มได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงนั่นแปลว่า 24 ชั่วโมงนั้นคือเรื่องขี้ๆ”
การโจมตีที่ว่านี้ทำไปเพื่ออะไร
ในทุกๆวันนี้เทคโนโลยีคือส่วนประกอบสำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อปี 2015 นั้นทาง Internet Association ได้เปิดเผยข้อมูลว่ามีอินเทอร์เนตสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศสหรัฐฯถึง 966 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 6% ของ GDP ของประเทศ
ผลกระทบในหลายๆแง่ของอินเทอร์เนตในอุตสาหกรรมการเงินก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะลืมได้ เพราะมันช่วยอำนวยความสะดวกทางด้านการจัดสรรข้อมูลและการเชื่อมต่อสื่อสารกันระหว่างนักธุรกิจอีกทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกทางด้านการซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดอีกด้วย และท้ายที่สุดมันยังเป็นตัวเชื่อมต่อประเทศทุกๆประเทศเข้าด้วยกัน ลองจินตนาการโลกที่ไม่มีอินเทอร์เนตดู นั่นอาจหมายถึงบริษัทและภาคเอกชนหลายๆหน่วยงานจะไม่สามารถขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เนตได้ และอาจจะขาดทุนย่อยยับ
อาจกล่าวได้ว่าโลกของเราตอนนี้ไม่สามารถที่จะอยู่ได้โดยไร้อินเทอร์เนต และหากลองนึกดูดีๆแล้วถ้าหากระบบเครือข่ายทางด้านการเงินถูกโจมตีขึ้นมานั้น อาจจะทำให้โลกทั้งโลกตกอยู่ในความโกลาหลก็เป็นได้
ถ้าหากอินเทอร์เนตทั้งโลกล่ม ตลาดการเงินจะไปไม่รอด
ย้อนไปเมื่อปี 2011 เราได้เห็นทางรัฐบาลอียิปต์ทำการปิดระบบอินเทอร์เนตในประเทศเป็นเวลา 5 วันด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัยของประเทศ ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยอ้างอิงจากการคาดคะแนความเสียหายของ OECD หรือองค์กรการพัฒนาเศรษฐกิจและความร่วมมือนั้นเผยให้เห้นตัวเลขความเสียหายถึง 90 ล้านดอลลาร์ ลองจินตนาการหากการเชื่อมต่ออินเทอร์เนตถูกตัดขาดเป็นเวลา 1 ปีนั่นอาจหมายถึง GDP ของประเทศที่อาจสูญหายไปถึง 3-4 เปอร์เซน อ้างอิงจากงานวิจัยของ Center of Technology innovation ณ ที่ Brookings พบว่าการปิดระบบอินเทอร์เนตเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปี 2015 และ 30 มิถุนายนปี 2016 ส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ต่อ GDP ทั่วโลก
บิทคอยจะถูกผลกระทบไปด้วยหรือไม่
หากพูดถึงบิทคอยที่มีอินเทอร์เนตเป็นสื่อกลางในการส่งจะได้รับผลกระทบหรือไม่ ซึ่งมันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำลายระบบบิทคอยด้วยการโจมตีอินเทอร์เนตที่เปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดใหญ่
บิทคอยนั้นกำลังเป็นที่นิยมใช้จ่ายหรือโอนเงินหากันในหมู่ผู้ใช้งานอินเทอร์เนต และเราก็เริ่มจะได้เห็นบริษัทและร้านค้าหลายๆที่เริ่มหันมาใช้บิทคอยกันบ้างแล้ว การตัดขาดการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เนตถึงยังไงก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับระบบเครือข่ายของบิทคอยได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าบิทคอยจะกลายเป็นตัวช่วยในการจำลองสถานการณ์การป้องกันการจู่โจมระดับสูงทางอินเทอร์เนต นาย David Li จากเว็บ OnChain ได้ให้กล่าวว่า
“การโจมตีแบบ DDoS นั้นหากจะทำให้ได้ผลจริงๆจะต้องโจมตีที่ “ระบบศูนย์กลาง” ซึ่งจะทำให้ผู้โจมตีสามารถทำลายระบบทั้งระบบได้ด้วยการจู่โจมแค่ศูนย์กลาง เราเชื่อว่าระบบการกระจายจะเป็นพื้นฐานใหม่ของของระบบการเงินในอนาคต หากลองนึกดูแล้วบิทคอยนั้นถือเป็นตัวป้องกันการโจมตีทาง DDoS ที่สมบูรณ์แบบ ถึงแม้ว่าการจำกัด 1 เมกกะไบต์ต่อขนาดบล็อกจะทำให้ระบบเครือข่ายเกิดอาการติดขัดก็ตาม แต่เราจะถือว่าขนาดของบล็อกคือปัญหาของการไม่ลงรอยกันภายในของกลุ่มนักพัฒนามากกว่า ดังนั้นเราเชื่อว่าทางนักพัฒนาจะสามารถหาข้อตกลงได้ในปีนี้”
ระบบ SMS และคลื่นสัญญาณ
เป็นที่เห็นๆกันอยู่ว่าหากปราศจากอินเทอร์เนตจะทำให้วิธีการส่งบิทคอยนั้นถูกจำกัดลง โดยหลักๆแล้ว การปิดตัวลงของอินเตอร์เนทจะทำให้การการพัฒนานวัตกรรมที่ว่านี้อ่อนแอลง รวมไปถึงทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกไม่มั่นใจในอนาคตของเงินดิจิตอล
มีผู้คนหลายๆคนโดยเฉพาะสมาชิกของกลุ่มผู้ใช้งานบิทคอยที่กำลังพยายามจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบิทคอยถ้าหากระบบอินเทอร์เนตทั่วโลกต้องปิดตัวลง ซึ่งหากพูดกันจริงๆแล้ว การส่งบิทคอยหากันโดยปราศจากอินเทอร์เนตนั้นสามารถทำได้ โดยมีบริษัทหนึ่งนามว่า 37Coins ได้ออกมาแนะนำว่าการส่งบิทคอยผ่านระบบบุคคลที่สามอย่างเช่นผู้ให้บริการกระเป๋าบิทคอยผ่านทาง SMS ก็สามารถใช้งานได้ อีกทั้งยังมีโครงการจากฟินแลนด์ที่ถูกเรียกว่า Kryptoradio ที่กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา โดยกล่าวว่าสามารถที่จะใช้ส่งบิทคอยผ่านทางคลื่นวิทยุหรือโทรทัศน์ได้ โดยเป็นการส่งข้อมูลบล็อกเชนผ่านคลื่นสัญญาณที่เรียกว่า DVB-T
ดูๆแล้ว ทางสมาชิกกลุ่มบิทคอยนั้นถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีควมคิดสร้างสรรค์และมีความเปิดกว้างสูงมาก ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้พวกเราผู้ใช้บิทคอยสามารถที่จะสบายใจได้ในกรณีที่อินเทอร์เนตถูกปิดตัวลง โดยสิ่งที่เราทำก็แค่สูดหายใจลึกๆ และเริ่มส่งบิทคอยหาสู่กันผ่านสัญญาณวิทยุหรือรหัสมอร์สอย่างมีความสุข
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น