<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

จงระวังฟองสบู่ Ethereum และ ICO

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ไม่นานมานี้มูลค่าตลาดรวมของ Ethereum ผงาดแซง Bitcoin ไปอย่างน่าตกใจจนทำให้หลายๆคนออกมาคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘Flippening’ สาเหตุหนึ่งเกิดจากเหล่าบรรดา start up ที่เปิด ICO และเรียกขอ Ethereum เป็นเครื่องเบิกทางให้ธุรกิจเหล่านี้ได้ก้าวกระโดดเข้ามามีตัวตนในตลาด

แต่จะมีใครฉุกคิดไหมว่า ICO เหล่านี้ ที่ไม่มีรัฐบาลหรือหน่วยงานใดๆมาหนุนหลัง อีกทั้งยังขอเรี่ยไรเงินในระดับที่สูงมาก ถ้าเกิดมันล่มขึ้นมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น? ในบทความนี้เราจะมานำเสนอมุมมองและการวิเคราะห์ของบล็อกเกอร์ท่านหนึ่งใน Medium ที่ชื่อว่า WhalePanda ที่มีต่อ Ethereum ในขณะนี้ครับ

ผมผิดไปแล้ว

ผมผิดไปแล้วที่คิดว่า Ethereum คือ สิ่งที่ไว้แทนมูลค่าได้อย่างดีเยี่ยม

ผมผิดไปแล้วที่คิดว่า Ethereum คือระบบที่กระจายตัวจากศูนย์กลางเพื่อให้เกิดการแชร์กำลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย Blockchain

ผมผิดไปแล้วที่คิดว่าทุกคนจะใช้ Ethereum เปรียบเสมือนมันเป็น supercomputer

เปล่าเลย ตอนนี้หน้าที่เดียวของ Ethereum คือ ไว้แลก Token ICO

อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนราคาของ Ethereum

สั้นๆง่ายๆ ความโลภ

ความโลภ ของนักเก็งกำไร นักลงทุน และ developer

โทษใครดี?

นักเก็งกำไร นักลงทุนเหรอ? พวกนี้ไม่ผิดหรอก พวกเขาแค่ตามน้ำไปกับตลาด

แต่คนที่ต้องรับผิดชอบกับการเกิดเทรนด์นี้มากที่สุด คือ developer ของเหล่าธุรกิจที่เปิด ICO

เรามาลองค่อยๆวิเคราะห์ดูอีกครั้งดีกว่า ว่าอะไรส่งผลต่อราคา นั่นก็คือ demand และ supply

Supply

ถึงเหรียญ Ethereum จะมีให้เทรดทั่วไปตามตลาด แต่เมื่อใดก็ตามที่มี ICO ที่ต้องจ่ายด้วย Ethereum แล้ว เราจะยิ่งเห็นจำนวน Ethereum ที่ถูกกั๊กไว้โดยคนที่เปิด ICO เหล่านี้ มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จริงอยู่ที่เมื่อเกิดการขุด เดี๋ยวก็มีเหรียญใหม่ๆเข้ามาในระบบ แต่ถ้าเทียบปริมาณแล้วมันน้อยนิดมาก สิ่งนี้ทำให้ supply ในตลาดน้อยลง ราคาเพิ่มขึ้น

ถึงจุดหนึ่ง ผู้ประกอบการที่ทำการเรี่ยไร ICO ไปอาจจะตกลงกันในทีมว่า “ถึงเวลาที่เราจะต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานและใช้จ่ายนู่นนี่แล้ว เราเอา ETH ส่วนหนึ่งไปขายละกัน แล้วที่เหลือเก็บไว้ ยังไงเดี๋ยวราคาก็ขึ้นอีกอยู่ดี ไม่ต้องห่วง”

Demand

Demand ของเหรียญคริปโตทั่วไป ก็คงเป็นนักลงทุนที่อยากซื้อเก็บไว้เก็งกำไรในระยะสั้นหรือยาว แต่สำหรับ Ethereum อีก demand หนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น คือ ICO ที่มีกำลังซื้อแบบบ้าคลั่งมาก ยกตัวอย่างเช่น TenX ที่เปิด ICO ไว้ที่ 200,000 ETH กับราคาปัจจุบัน ที่ $370 เท่ากับว่าพวกเขาจะได้เงินเกือบ $74,000,000 สำหรับ start up ที่ยังไม่มีผลงานมาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ICO บางที่ก็จะมีนโยบายว่า token ที่แจกออกไปจะมีแค่ 51% ของทั้งหมดเท่านั้น แสดงว่ายังมีอีก 49% ที่เหล่า developer หรือหุ้นส่วนถืออยู่ ทำให้อันที่จริงแล้ว TenX จะมีมูลค่า $150,000,000 ในช่วงเวลาสั้นๆ

และด้วยข้อกำหนดที่ token ของ ICO ส่วนใหญ่ต้องซื้อด้วย Ethereum เท่านั้น จึงเกิดเป็น demand มหาศาลที่ใครก็คาดไม่ถึง

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับราคาของ Ethereum

มันอาจจะขึ้นอีกก็ได้ ถ้าเกิดสมมติว่ามี ICO ออกมาอีกเรื่อยๆ ปริมาณเหรียญในตลาดก็จะลดน้อยลง ราคาจะสูงขึ้น

แต่แล้วถ้าราคามันจะตกล่ะ? จะเกิดได้จากอะไร

  • บัคใน Smart Contract ของ Ethereum?
  • โดน hack?
  • ICO ที่พังไม่เป็นท่า พาเงินของนักลงทุนจมหายไป
  • เกิด Hard Fork
  • หรือแค่ พอเริ่มไม่มี ICO ใหม่ๆ ขึ้นมาสักพัก คนอาจเริ่มกลัวกันไปเองว่า Ethereum อาจจะถึงเวลาลงแล้ว เกิดเป็น panic selling

ความจริง เราไม่น่าถามเลยว่า “ราคาจะตกหรือไม่?” สิ่งที่เราควรถามคือ “เมื่อไรราคามันจะเริ่มตก?”

โดยปกติแล้ว ถ้าฟองสบู่แบบนี้แตก เราจะเห็นราคาตกได้ถึง 70-80% ซึ่ง Bitcoin เคยเจอมาแล้วตอนที่ตกจาก $1,200 เหลือ $170 หลังจากฟองสบู่ช่วง 2013-2014 แต่สำหรับ Ethereum แล้ว มันเป็นฟองสบู่ที่บวมเป่งจนไม่รู้ว่าจะไปเปรียบเทียบกับอะไร

หันไปมองทางด้าน Bitcoin จะเห็นว่า demand ของเหรียญนี้มาจากเจ้าเก่าที่ถือไว้มานาน หรือนักลงทุนรอช้อนตอนราคาตก คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีงานหลักทำ ไม่ก็ขุดอยู่ และส่วนใหญ่ไม่ขายทิ้งง่ายๆ ทำให้ Bitcoin ราคาค่อนข้างคงที่

แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ Ethereum ที่ ปริมาณเหรียญส่วนใหญ่ในโลกตอนนี้ ถูกถือไว้ในมือของบริษัทมากมายที่ต้องใช้จ่าย แล้วมันจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นไหมว่า อยู่ ETH ราคาเริ่มตก บริษัทที่ทำ ICO มานั้น หลักประกันของพวกเขา เงินก้นถุงของพวกเขามีเพียงอย่างเดียวคือ ETH เขาจะขายมันทิ้งเพื่อคงมูลค่าของบริษัทเอาไว้รึเปล่า? หรือจะถือไว้ ไม่ขาย เพราะมั่นใจว่าเดี๋ยวราคามันก็จะกลับมาเท่าเดิมหรือมากกว่า?

แม้แต่คนของ Ethereum เองก็เอากับเค้าด้วย

ดูตัวอย่างได้จาก ICO ของ Primalbase ที่มี Vitalik Buterin ตัวพ่อของ Ethereum มาเป็นที่ปรึกษา ยิ่งสร้างสุมเป็นกองไฟให้เหล่าแมงเม่าวิ่งเข้าหา ที IPO หุ้นราคาไม่เท่าไร เราลังเลที่จะซื้อ แต่พอเป็น ICO ที่เรียกเงินซะเยอะเหมือนแบ๊งค์กงเต๊ก กลับมีแต่คนอยากเปย์ อยากเอาเงินไปโยนทิ้งให้กับคนเหล่านี้

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพอฟองสบู่แตกแล้ว รัฐบาลเข้ามาจัดการ

ภาพลักษณ์ของ cryptocurrency จะบาดหมางเพราะปลาเน่าตัวเดียวหรือเปล่า? แล้วทั่วโลกจะมอง Bitcoin, Litecoin และเหรียญอื่นๆยังไง แล้วไหนจะฝันของการเป็น platform Smart Contract ที่ทุกคนจับต้องได้ของ Ethereum อีกล่ะ ฟองสบู่นี้จะนำพามาซึ่งจุดจบของทุกอย่างรึเปล่า?

นายอิจฉา Ethereum ล่ะสิ?

ผมโดนมาหมดแล้ว กับข้อกล่าวหาว่าผมเกลียด Ethereum เช่น

  • ผมเกลียด Ethereum เพราะผมชอบ Bitcoin แต่เปล่าเลย บางโปรเจ็คผมก็ชอบจริงๆ เช่น Siacoin
  • ผมเกลียด Ethereum เพราะผมเข้าไม่ทัน คนอื่นเขาเก็บได้กำไรกันไปหมดแล้ว อันที่จริงผมก็ไปเทรดเหรียญ ICO กับเขาบ้างและได้กำไรด้วย
  • ผมเกลียด Ethereum เพราะผมไม่เข้าใจว่า Ethereum คืออะไร เหรอ? แล้วคุณเข้าใจมันแล้วเหรอ? มี Smart Contract ไหนบ้างที่ host อยู่บน Ethereum ตอนนี้ล่ะ นอกจาก Smart Contract ที่เอาไว้ขาย ICO token ที่คุณซื้อมา
  • ผมเกลียด Ethereum เพราะผมอิจฉา Vitalik เปล่าเลย ผมชื่นชมเขานะ สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา ด้วยอายุเท่านี้ มันสุดยอดมาก แต่ผมว่าฟองสบู่นี้เกิดขึ้นจากเขาเลยแหละ และเราทุกคนพลาดได้ แต่สำหรับ Vitalik แล้ว ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องสมาพันธ์ DAO ที่สร้าง Ethereum ขึ้นมา พอมันโดน hack เขาก็ hard fork ออกมาเป็น Ethereum ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน แล้วทิ้งของเก่าเป็น Ethereum Classic ไว้ซะอย่างงั้น ทิ้งทั้งเพื่อน และคนที่โดนขโมยเงินไปเฉยๆ ผมว่ามันไร้จรรยาบรรณมากๆ

สำหรับคนที่กลัวว่า Ethereum จะมาแทนที่ Bitcoin

Ethereum ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นสกุลเงินดิจิตอล เหมือน Bitcoin

ETH ไม่ได้ถูกจำกัดจำนวนไว้ แบบที่ Bitcoin ตั้งไว้ที่ 21 ล้าน ถึงแม้ ETH จะพยายามเปลี่ยนไปเป็น Proof of Stake เพื่อช่วยในเรื่องตรงนี้ก็ตาม แต่คุณคิดเหรอว่ามันจะไม่มีบัค แล้วไม่ใช่ว่าทีมงานของ ETH ไม่เคยพลาดมาก่อน การเปลี่ยนแปลงใหญ่ขนาดนี้ กับ market cap ที่ปาเข้าไป $30 ล้านแล้ว ผมว่ามันไร้ความรับผิดชอบ และบ้าบอมากๆ ถ้าเกิดมันพังขึ้นมาแล้วคนเสียตัง คุณจะรับผิดชอบยังไง

ถึงแม้ว่าถ้ามันจะไม่มีบัค แล้วพวกสายขุดล่ะ จะทำยังไง บางคนซื้อริกมาแพงขนาดนี้ ยังไม่ทันคืนทุน ดันมาเปลี่ยนเป็นระบบดอกเบี้ยซะแล้ว

ค่าโอน Ethereum ถูกกว่า Bitcoin

ค่าโอน Ethereum มันถูกก็จริง เทียบกับ BTC ตอนนี้ที่แพงมาก แต่บางที ETH ก็แพงเหมือนกัน ยิ่งตอนมี ICO ที่พวกขาใหญ่เขายอมจ่าย $100 เพื่อแลกกับความรวดเร็วในการโอน จังหวะแบบนี้ ETH ก็ไม่ต่างอะไรกับ BTC คือติดแหง็กเหมือนกัน ใครจ่ายน้อยก็รอไป

และที่บอกว่าโอนถูกกว่านั้น จะไม่จริงถ้าคุณโอนออกจากกระดานเทรด เช่น Poloniex คิดค่าโอน ETH ที่ $1.9 เทียบกับ BTC ที่ประมาณ $0.28 หรือ เวลาที่คุณใช้มันเพื่อ Smart Contract จริงๆ นี่ยิ่งใช้เงินเยอะกว่าอีก

Ethereum เป็นเหรียญที่ลำเอียง ไม่ decentralized เหมือน concept ที่ Blockchain ตั้งไว้

Bitcoin เอง ก็ไม่ได้กระจายตัวมากนัก มันมีคนที่ถือ Bitcoin จำนวนมาก และมีกำลังขุดจำนวนมากไว้อยู่ พวกนี้คือเจ้าใหญ่ในตลาด แต่ถ้าเทียบกับเหรียญอื่นๆแล้ว Bitcoin น่าจะโอเคที่สุดแล้ว

Vitalik เคยเรียกตัวเองว่าเป็นนักเผด็จการผู้หวังดี (คุ้นๆนะ) สิ่งที่เขาชี้นำ ทำให้เกิดความก้าวหน้าของ Ethereum แต่ก็อาจทำให้เกิดจุดจบเช่นกัน เพราะถ้าเขาตัดสินใจพลาด ETH ก็พลาด เทียบกับ Satoshi ผู้สร้าง Bitcoin ที่ดีดตัวเองออกจาก project ไปก่อน และทิ้งไว้ให้สังคมของ Bitcoin ดูแลกันเอง เพื่อให้เกิดความกระจายตัวและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง

Ethereum เปลี่ยนแปลง บิดพลิ้ว ได้

ลองหาอ่านเกี่ยวกับสมาคม DAO เพื่อศึกษาต้นตอของการแยกเป็น Ethereum Classic และ Ethereum ดู แล้วคุณจะเห็นว่าเหรียญนี้มันเอาแต่ใจสุดๆ คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนดื้อๆ เทียบกับ Bitcoin ที่จะเปลี่ยนทีนึงตีกันแทบตาย

Ethereum มี Enterprise Ethereum Alliance ที่รวบรวมธนาคารชั้นนำเอาไว้

ถึงแม้พวกธนาคารใหญ่จะใช้ Ethereum ก็ตาม แต่พวกเขาใช้ Ethereum ในเวอร์ชันของตัวเอง ที่เป็น private fork คือเอาโค้ดมาทำของเขาเอง ไม่ยุ่งกับตลาด Ethereum กลาง เพราะว่าพวกเขาต้องการใช้ Ethereum จริงๆ มาทำในสิ่งที่มันถูกออกแบบมาให้ทำจริงๆ ไม่ใช่เอาไปใช้แทนเงินแบบที่ทุกคนกำลังทำกันอยู่แบบนี้

สรุป

ถ้าคุณเป็น developer ที่กำลังจะเปิด ICO นะ เบาลงหน่อย นี่คุณต้องการ $5 ล้านเหรียญเพื่อเริ่มธุรกิจจริงๆเหรอ นี่ต้นแบบก็ยังไม่เสร็จเลยนะ มาแต่ไอเดีย แล้วจะขาย token แล้ว

อันที่จริง มีนักลงทุนในตลาดคริปโตมากมายที่อาจจะสนใจและชื่นชอบในตัวโปรเจ็คคุณจริงๆ คุณเสนอขายหุ้นของบริษัทให้เขาแทนก็ได้ ถึงมันจะไม่ได้เงินมากมายเหมือน ICO แต่มันโปร่งใส ถูกต้อง ปลอดภัย และคุณเทเขาทิ้งง่ายๆแบบ ICO ไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่แสดงถึงความใส่ใจในงานของคุณด้วย

และถ้าคุณเป็นนักลงทุนหรือนักเทรด พยายามดึงสติหน่อย สิ่งนี้อาจจะเกิดเป็นฟองสบู่ได้ และขอให้จำไว้ว่า เงินที่คุณเอามาลงทุน ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเสียมันไป อย่าเอามันมาลงทุน เพราะคุณจะหมดตัวได้

ทั้งหมดด้านบนนี้ คือ ความคิดเห็นของคุณ WhalePanda ที่มีต่อกระแส Ethereum ในตอนนี้ ซึ่งประเด็นและเหตุผลที่เขายกขึ้นมาก็สมเหตุสมผล มีที่มาที่ไป แสดงให้เห็นว่า Ethereum อาจจะเจอศึกหนักในวันข้างหน้า ถ้าเกิดเรายังเจอนักลงทุนที่สุ่มสี่สุ่มห้าลงทุนในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ ตลาดก็จะเกิดฟองสบู่ และไปรบกวนคนที่เขาลงทุนกันจริงจังในที่สุด

สุดท้ายนี้ต้องขอออกตัวว่าความคิดเห็นที่เรานำเสนอนี้ไม่ใช่ความคิดเห็นที่เป็นทางการของทาง Siam Blockchain แต่อย่างใด และการลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง ขอให้ทุกท่านลงทุนกันอย่างมีสติ