<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สาเหตุที่ SegWit2x คือตัวตัดสินความเป็นมนุษยธรรมมากกว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ดูเหมือนว่าผู้ใช้งาน Bitcoin ส่วนใหญ่นั้นจะได้พักหายใจกันบ้างหลังจากที่การดีเบตของการ Scaling ของ Bitcoin นั้นได้จบลงไปแล้วหนึ่งขั้น แต่ถ้าหากเรามองลงไปในแผนการขั้นต่อไปของ SegWit2x และนอาคตหลังจากนั้น บทเรียนครั้งสำคัญที่สุดที่เราจะเรียนรู้จากมันคงจะไม่ใช่เรื่องราวทางเทคนิคในการติดตั้ง SegWit หรือทฤษฎีเกี่ยวกับขนาดของบล็อกและความเร็วในการทำธุรกรรม แต่มันควรที่จะเป็นเรื่องราวความก้าวหน้าของกลุ่มนักพัฒนามากกว่า

หลายๆคนกล่าวว่า Bitcoin นั้นเป็นเหยื่อของความสำเร็จของตัวมันเอง ราชาแห่งเหรียญ cryptocurrency ที่มีอัตราการเติบโตแบบผิดธรรมชาติ ซึ่งภายหลังที่มีคนหันมาใช้งานมันมากขึ้นก็ทำให้การรองรับการทำธุรกรรมติดขัด การโอนเหรียญหากันมีความช้าลง คำถามหลายๆคำถามเกิดขึ้นมาว่าเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นมาบนแนวคิดที่จะมาทดแทนเงินสดและธนาคารนั้นจะทำได้เหมือนที่เจ้าของพูดเอาไว้หรือเปล่า

ไม่มีการแก้ปัญหาที่เร็ว

การติดตั้ง SegWit2x ที่จะมีการแก้ไขโค้ดเพื่อบีบอัดขนาดธุรกรรมให้เล็กลง และจะมีการเพิ่มขนาดบล็อกเก็บธุรกรรมเป็น 2MB ทำให้เครือข่ายของ Bitcoin ลดอาการคอขวดลง เมื่อมีบล็อกเก็บธุรกรรมมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ทำให้มีธุรกรรมถูกเก็บได้มากขึ้น และการส่งเหรียญหากันก็จะเร็วขึ้นกว่าเดิม แม้จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ แต่มันก็ไม่ใช่ต้นเหตุที่แท้จริง แม้การแก้ปัญหานี้จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มกลับมามีความมั่นใจในตัวของ Bitcoin มากขึ้น จนทำให้ตลาดของมันนั้นมีการตอบสนองที่ดีมากขึ้น แต่ในระยะยาวนั้น บางทีมันอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ไขมะเร็งที่อาจจะกลับมาลุกลามให้ใหญ่โตขึ้นได้

มีผู้คนหลายๆคนที่พยายามออกมาหาวิธีการแก้ไขต่างๆมากมาย ซึ่งก็มีทั้งการคาดเดาและท้ายสุดก็ลงเอยที่ความไม่เห็นด้วย และทะเลาะกันในที่สุดจนท้ายสุดก็ได้ลงเอยมาเป็น SegWit2x โดย ท่ามกลางการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนที่ยังคงทำให้หลายๆคนแปลกใจว่าภายหลังพวกเขากลับมาทำงานด้วยกันเพื่อผลประโยชน์และอนาคตของ Bitcoin และ Blockchain ได้อย่างไร แม้ว่าจะมีการแบ่งพรรคพวกกันในกลุ่มผู้ใช้งานและนักพัฒนา แต่ในท้ายสุดแล้วทุกๆคนที่มีส่วนร่วมในการเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของ Bitcoin นั้นต่างก็ต้องการที่จะทำให้มันสำเร็จลุล่วงไปได้ ซึ่งหากจะเป็นเช่นนั้นได้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการประนีประนอมกันท่ามกลางความขัดแย้งที่เปรียบเสมือนเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกิน community ของ Bitcoin ไปเรื่อยๆ และหากทำสำเร็จ อัตราการโตของ Bitcoin ในภายหลังอาจส่งผลให้ผู้คนหลายๆคนที่มองมันว่าเป็น “เหรียญสำหรับเก็งกำไร”​ หันมาใช้งานมันในชีวิตประจำวันเพื่อซื้อสินค้าแบบที่ผู้ให้กำเนิดมันหวังไว้ตั้งแต่แรกก็เป็นได้

การรับรู้ของคนทั่วๆไป

เมื่อนานมาแล้ว นาย Milton Friedman ได้ทำนายถึงการถือกำเนิดขึ้นของสกุลเงินดิจิตอลไว้เมื่อปี 1990 ซึ่งในตอนนั้นสิ่งที่เขาคิดมีเพียงแค่สิ่งประดิษฐ์เพื่อมวลมนุษยชาติ, ความเป็นประชาธิปไตย และปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์แบบเต็มอก เขายังได้มองเห็นอนาคตว่าโลกทั้งใบจะเปลี่ยนเป็นยุคที่ทุกอย่างจะอยู่ภายใต้อินเทอร์เนตที่มีความเป็นการกระจายศูนย์ (decentralized) และปราศจากการควบคุมของรัฐบาลในท้ายสุด แต่กระนั้น เทคโนโลยีมันก็เป็นแค่เปลือกนอกของแนวคิด เพราะท้ายสุดแล้วการที่โลกของเหรียญ cryptocurrency จะประสบความสำเร็จได้นั้น นักพัฒนาทุกๆคนต้องรวมตัวกัน ลดความขัดแย้งกัน และทำงานร่วมกันโดยโฟกัสไปที่ผลประโยชน์ส่วนรวม

[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]

Bitcoin นั้นเป็นตัวอย่างที่ดี ณ จุดเริ่มต้นที่เกิดมาจากแนวคิดเพื่อปลดแอกประชาชนจากการควบคุมของรัฐบาลและการเอาเปรียบของธนาคารด้วยการกระจายอำนาจสู่ประชาชนผู้ใช้งานแบบไม่มีใครเป็นเจ้าของ สำหรับปลายปี 2017 ที่จะถึงนี้ ถ้าหากการ Hard fork เพื่อเพิ่มขนาดบล็อกให้เป็น 2MB เชื่อได้ว่าผู้ได้รับประโยชน์อันดับแรกๆคงจะหนีไม่พ้นผู้ใช้งาน Bitcoin แต่คำถามที่ตามมาคือผู้ที่ได้ผลประโยชน์พลอยได้อย่างนักขุดที่ปัจจุบันเครือข่ายของมันที่มีความเป็น decentralized น้อยลงเนื่องจากมีเพียงผู้ที่มีทุนในกระเป๋าหนาถึงจะมีโอกาสถือครองพลัง hash power ได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนภายหลังทำให้อำนาจทั้งหมดไปตกอยู่ที่นักขุดแทนไม่ใช่ผู้ใช้งาน หรือบางที proof of stake อาจจะเป็นทางออกก็อาจจะเป็นได้

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น