สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการคริปโตย่อมรู้จักการขุด Bitcoin เป็นอย่างดีว่า การขุด Bitcoin นั้นเป็นหนึ่งในกระดูกสันหลังที่ทำให้เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ยังสามารถทำงานต่อไปได้ และในปัจจุบันไม่ใช่แค่ Bitcoin เท่านั้นที่สามารถขุดได้ แต่คริปโตตัวอื่นก็สามาาถขุดได้ด้วยเช่นกันอย่าง Zcoin
Zcoin เป็นคริปโตที่เน้นการทำธุรกรรมที่มีความเป็นส่วนตัวสูง และปัจจุบันเหรียญดังกล่าวใช้ระบบ Proof-of-work หรือสามารถขุดได้ อย่างไรก็ตามการขุดคริปโตนั้นก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน คือการผูกขาดของกำลังขุด
อ้างอิงจากที่นายปรมินทร์ อินโสม ที่ให้สัมภาษณ์กับ Nasdaq ในช่วง Trade Talk และเผยว่า Zcoin กำลังจะเป็นคริปโตตัวแรกนำระบบ MTP มาใช้ตาม Roadmap ของพวกเขาเพื่อต่อต้านการผูกขาดของกำลังขุดและสร้างความมั่นใจให้กับนักขุดในเครือข่ายว่าระบบจะไม่ถูกผูกขาดโดยเครื่องขุด ASIC
“MTP หรือ Merkle Tree Proof เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อต่อต้าน ASIC ทำให้เครือข่าย Zcoin ยังคงความ Decentralized อยู่ได้ซึ่งนับว่าเป็นกุญแจสำคัญสำหรับคริปโตเคอร์เรนซี่ เราคิดว่าเราต้องมีมาตราการอะไรซักอย่างมาต่อกร หากมีเหตุการณ์คล้าย ๆ กรณีที่ Monero เจอเกิดขึ้น”
การขุดคริปโตคือกุญแจหลักในการตัดคนกลางออกไปจากระบบ สำหรับคริปโตเคอร์เรนซี่นั้นการขุดคือการยืนยันธุรกรรมในเครือข่าย ซึ่งโดยการทำธุรกรรมออนไลน์ปกติ นั้นระบบจำเป็นมีตัวกลางที่น่าเชื่อถือมายืนยันให้ธุรกรรมให้ เช่น บริษัทบัตรเครดิต หรือ ธนาคารต่าง ๆ แต่ในระบบ Blockchain นั้นนักขุดคือผู้ที่ทำการยืนยันธุรกรรม โดยการใช้เครื่องขุด ซึ่งนักขุดคนไหนที่ทำการยืนยันได้ จะได้รับรางวัลไป เช่น ในเครือข่าย Bitcoin หากนักขุดยืนยันธุรกรรมได้ก็จะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้นักขุดนำเงินมาลงทุนในเครื่องขุดเพื่อรับผลตอบแทนนั้น
อุปกรณ์ที่นักขุดใช้ในการขุดคริปโตนั้นได้แก่ การ์ดจอ และเครื่องขุด ASIC โดยจะแตกต่างกันที่การ์ดจอสามารถขุดได้หลากหลาย Algorithm ทำให้ขุดได้หลายเหรียญ แต่ ASIC นั้นขุดได้ Algorithm อันเดียวหรือน้อยกว่าการ์ดจอ ทำให้ขุดได้ไม่กี่เหรียญแต่มีกำลังขุดที่มากกว่า ทำให้มีนักขุดบางคนที่มีความสนใจแค่บางเหรียญเลือกที่จะใช้ ASIC ในการขุด
หากมีเครื่อง ASIC ที่มีประสิทธิภาพกว่าการ์ดจออกมาจำหน่าย มันก็จะทำให้กำลังขุดสามารถผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มนึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งสำหรับเครือข่าย Blockchain ของเหรียญคริปโตที่สามารถขุดได้นั้น หากใครมีกำลังขุดมากกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าพวกเขา มีอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดว่าจะทำอย่างไรกับเครือข่ายนั้น ๆ หากมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจะทำให้เกิดการผูกขาดของอำนาจ หรือ Centralization เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจุดประสงค์ของ Blockchain ที่เน้นการกระจายอำนาจ หรือ Decentralized
ซึ่งเครือข่ายของเหรียญต่าง ๆ นั้นต่างระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้เป็นอย่างมาก เช่น เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบริษัทผลิตเครื่องขุด Bitmain ได้เปิดตัวเครื่องขุดคริปโต Antminer X3 ที่มีประสิทธิกว่าการ์ดจอเป็นอย่างมาก สำหรับขุดใน Algorithm Cryptonight ซึ่งมีเหรียญที่นักขุดส่วนใหญ่นิยมชื่อ Monero ส่งผลให้กลุ่มนักพัฒนา Monero ทำการ Hard Fork เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่อง Antminer X3 ที่เป็น ASIC สามารถขุดได้ เพราะพวกเขากลัวว่าเครื่อง ASIC เหล่านี้จะทำให้เครือข่ายของพวกเขา Centralized มากขึ้น
ปัญหาการผูกขาดของกำลังขุดนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่หลาย ๆ เครือข่ายต่างไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่าในวงการคริปโตจะเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้แล้ว และเริ่มมีมาตรการหลากหลายรูปแบบมาต่อกรกับมัน ซึ่งจะส่งผลให้วงการคริปโตเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น