<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นาย Tom Lee กล่าว “ถือ Bitcoin ไว้ ไม่กี่สิบวันราคาของ Bitcoin จะไปแตะ 25,000 ดอลลาร์”

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

CNBC รายงานในวันที่ 23 พฤษภาคมว่า นาย Tom Lee ผู้ร่วมก่อตั้ง Fundstrat ยังคงเชื่อมั่นในการทำนายของเขาว่าราคาของ Bitcoin จะไปแตะ 25,000 ดอลลาร์ปลายปี 2018 โดยเขาได้กล่าวถึง 3 ปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้ Bitcoin มีราคาเลยราคสูงสุดเท่ากับปี 2017

วันพุธที่ผ่านมา ราคาของ BTC นั้นร่วงลงไปต่ำกว่า 8,000 ดอลลาร์ ไปแตะที่ 7,500 ดอลลาร์ หากนับตั้งแต่ราคาช่วงต้นปีนั้น Bitcoin มีมูลค่าลดลงมากว่า 41 เปอร์เซ็นต์แล้ว นาย Lee กล่าวว่าสาเหตุที่ทำให้ราคาร่วงลงมานั้นเกิดจาก “ความผันผวนปกติในตลาดคริปโต” และอธิบายถึงสาเหตุหลัก ๆ 3 สาเหตุที่ทำให้ราคาของ Bitcoin จะเพิ่มขึ้น

3 ปัจจัยหลัก

อ้างอิงจากรายการ Futures Now ของ CNBC ในวันอังคารที่ผ่านมา เขากล่าวว่า ปัจจัยแรก คือต้นทุนของการผลิต Bitcoin

“ในตอนนี้ ราคาซื้อขาย Bitcoin นั้นเกือบเท่าต้นทุนของการผลิต Bitcoin ซึ่งต้นทุนของมันอยู่ที่ประมาณ 6,000 ดอลลาร์”

ปัจจัยต่อไปคือปัจจัยหลักที่จะทำให้ราคาของมันเพิ่มขึ้น นาย Lee กล่าวถึงชื่อของนักลงทุนระดับสถาบันหลายคนที่มีความสนใจในตลาดคริปโต แต่ยังไม่เข้ามาเล่นแบบเต็มตัว เนื่องจากความไม่แน่นอนของกฎหมาย

“ผมคิดว่า ตอนนี้มีนักลงทุนระดับสถาบันหลายคนที่มีความสนใจในตลาดคริปโต แต่ยังไม่ได้เข้ามาลงทุนในตลาดเท่าไรนัก เนื่องจากกฎหมายที่ควบคุมหรือคุ้มครองนั้นยังไม่มีความแน่ชัด การจัดประเภทให้คริปโตกลายสินทรัพย์ให้เหมาะสมนั้น จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาของ Bitcoin พุ่งทะยานอย่างมาก”

ปัจจัยสุดท้าย อ้างอิงจากข้อมูลของกระแสในอดีตที่ Fundstrat เก็บรวบรวมมานั้น นาย Lee แนะนำนักลงทุนว่า พวกเขาควรที่จะถือ Bitcoin ไว้

“อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ การพุ่งขึ้นของราคาในเวลาเพียงไม่กี่สิบวันเท่านั้นจะสามารถทดแทนภาพรวมทั้งหมดของราคา Bitcoin ทั้งปีได้เลย ถ้าคุณไม่คำนวณวลาเพียงไม่กี่สิบวันนั้น ราคาของ Bitcoin จะลดลงปีละ 25 เปอร์เซ็นต์ ถึงแม้การถือ Bitcoin ในราคา 8,000 ดอลลาร์ จะดูน่าเศร้าแค่ไหนก็ตาม แต่เพียงไม่กี่สิบวันเท่านั้น ราคาของมันจะเพิ่มขึ้นจาก 8,000 เป็น 25,000 ดอลลาร์”

นาย Tom Lee ยังคงมีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าราคาของ Bitcoin จะทะลุราคาสูงสุดเดิมอีกครั้งภายในปลายปีนี้ แต่ความเป็นจริงราคา Bitcoin จะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องติดตามต่อไป

ที่มาภาพ Yahoo Finance

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น