<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นาย Steve Hanke กล่าว “ธนาคารกลางต้นเหตุปัญเศรษฐกิจและเกิดเงินเฟ้อ ไม่มีใครต้องการ”

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ศาตราจารย์ Steve Hanke ว่ากล่าวธนาคารกลางว่าโลกควรที่จะให้ธนาคารกลางเข้ามายุ่งเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจของประเทศให้น้อยลงเพราะธนาคารกลางทำให้ระบบเศรษฐกิจมีความผันผวนทั้งการใช้นโยบายทางการเงินที่ไม่สมควรทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่เสถียรส่งผลต่อการสูญเสียความมั่งคั่งของระบบเศรษฐกิจ

ธนาคารกลางทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มเพราะการพิมพ์ธนบัตรอย่างฟุ่มเฟือย

ธนาคารกลางเป็นตัวสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจที่ระส่ำระส่ายนั้นล้มลงเพราะการพิมพ์ธนบัตรออกมามากเกินไปโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบยิ่งทำให้เพิ่มอัตราเงินเฟ้อ ทั้งนี้ คุณ Steve Hanke มีบทบาทสำคัญในการสร้างบทบาททางการเงินใหม่ให้กับอาร์เจนตินา, เอสโตเนีย, บัลแกเรียและเอกวาดอร์ เขาได้กล่าวต่อไปอีกว่าโลกใบนี้ต้องลดบทบาทของธนาคารกลางแห่งประเทศลงเพื่อป้องกันวิกฤติทางเศรษฐกิจ

เขากล่าวว่าอำนาจในการใช้ดุลพินิจได้เองในการสร้างธนบัตรและเครดิตของธนาคารกลางนั้นเป็นเหตุผลเบื้องหลังของการเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจสำหรับตลาดใหม่ ๆ ทั้งหลายรวมทั้งยังเป็นบ่อเกิดของอัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อนี่แหละที่ทำลายความมั่งคั่ง การเจริญเติบโตและความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคุณ Hanke ได้กล่าวใน บทความบน Forbes เมื่อวันที่ 20 กันยายน

คุณ Steve Hanke เป็นศาสตราจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์แห่งมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้กล่าวว่า ทั้ง 10 ประเทศนี้คือ อาร์เจนตินา อิหร่าน เวเนซุเอลา เติร์กเมนิสถาน ตุรกี ซูดาน เยเมน ซิมบับเว ซูดานใต้และไลบีเรีย มีอัตราเงินเฟ้อประจำปีเกินกว่า 35% ซึ่งเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะล้มในอนาคต แต่เจ้าหน้าที่ทางการเงินของประเทศดังกล่าวก็ยังคงพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเพื่อนำไปใช้จ่ายให้กับรัฐบาลซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมากทำให้ระบบเศรษฐกิจยิ่งแย่ลง ตามที่คุณ Hanke ได้บอกไว้ว่าประเทศใดที่มีอัตราเงินเฟ้อเกินกว่า 35% ต่อปีจะไม่ผ่านแบบทดสอบการประเมินอัตราเงินเฟ้อของเขา

คริปโตเคอร์เรนซีคือทางเลือกที่เป็นไปได้

วัตถุประสงค์ของการสร้างคริปโตเคอร์เรนซีคือเพื่อไม่ให้รัฐบาลผลักดันนโยบายที่ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เมื่อระบบการเงินของโลกได้พัฒนาขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องมีกฎหรือระเบียบเพื่อป้องกันมิให้บุคคลใดกระทำการที่ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ ในส่วนของธนาคารกลางและรัฐบาลซึ่งมีการดำเนินการร่วมกันนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนวัตกรรมและการลดต้นทุนแต่ควรที่จะเข้ามามีบทบาทในเรื่องของการตรากฎหมายกำกับคริปโตเคอร์เรนซีอย่างเคร่งครัดมากกว่าการให้คำแนะนำ

กำจัดธนาคารกลางออกไป เพิ่มหน่วยงานทางการเงิน (Currency Board)

คุณ Hanke เสนอว่า ประเทศที่ล้มเหลวทางเศรษฐกิจต้องกำจัดธนาคารกลางของประเทศออกไปโดยการนำเหรียญดอลลาร์สหรัฐมาใช้หรือเพิ่มหน่วยงานทางการเงิน หรือ Currency Board เข้ามาในระบบ ซึ่ง Currency Board นี้จะทำการออกธนบัตรและเหรียญที่สามารถแปลงเป็นเงินตราต่างประเทศที่ใช้เป็นทุนสำรองตามความต้องการในการแลกเปลี่ยนอัตราคงที่  เงินตราที่ใช้เป็นเงินทุนสำรองนี้ถือเป็นพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำและมีอัตราดอกเบี้ยต่ำซึ่งเรียกว่า Anchor Currency

ประเทศที่มี Currency Board กำหนดอัตราเงินเฟ้อในอัตราที่ต่ำ อีกทั้งมีงบประมาณขาดดุลน้อยลง หนี้ลดลงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ วิกฤติการเงินของธนาคารก็ลดลงและทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากขึ้นหากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ยังคงมีธนาคารกลางอยู่

ผู้ก่อตั้งสถาบัน Cato ที่ทำนายการเกิดอัตราเงินเฟ้อรุนแรงของประเทศซิมบับเวในปี 2008 ได้อย่างแม่นยำคือมีอัตราเงินเฟ้อทะลุ 231 ล้านเปอร์เซ็นต์ ได้กล่าวว่า Currency Board ไม่เหมือนกับธนาคารกลางตรงที่ Currency Board ไม่มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจทางการเงินตามอำเภอใจและไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับประเด็นการออกธนบัตรที่ใช้แทนเหรียญกษาปณ์โดยอาศัยความไว้วางใจของประชาชน

“มันจะมีนโยบายอัตราการแลกเปลี่ยนคงที่แต่ไม่มีนโยบายทางการเงิน การปฏิบัติงานของ Currency Board จะเป็นไปอย่างอัตโนมัติต่อเนื่อง หน้าที่อย่างเดียวของ Currency Board คือแลกเปลี่ยนสกุลเงินในประเทศที่มันออกมาสำหรับ Anchor Currency ในอัตราที่คงที่ซึ่งส่งผลให้การหมุนเวียนทางการเงินในประเทศเป็นไปตามอำนาจตลาดตามความต้องการภายในประเทศ ตอนนนี้ก็มี 70 กว่าประเทศที่ใช้ Currency Board และยังไม่มีการรายงานว่าระบบนี้ล้มเหลวแต่อย่างใด” เขากล่าว

นอกจากนี้ Currenct Board ไม่สามารถออกเครดิตได้ทำให้มีข้อจำกัดด้านงบประมาณที่เข้มงวดและมีระเบียบวินัย

ที่มา News Bitcoin

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น