<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Bitcoin กับสถานะที่กำลังเงียบสงบก่อนจะเผชิญกับพายุครั้งใหญ่

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคาของ Bitcoin ที่คงที่ในช่วงเวลานี้ก็ดูเหมือนไม่ได้จะคงที่เช่นนี้นานเท่าใดนัก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาราคาของ Bitcoin ไม่ได้คงที่อยู่แบบนี้ไปตลอด ในขณะที่เขียนบทความนี้ ราคาของ Bitcoin อยู่ต่ำกว่า 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม หากเราพิจารณากฎที่ตรงข้ามกันสำหรับการลงทุน (contrariant rule) รวมถึงพิจารณามิติของ volume และความไม่แน่นอนเราจะสามารถทำนายราคาที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของ Bitcoin ได้ เราไม่ได้เห็นการที่ราคา Bitcoin คงที่แบบนี้ตั้งแต่ปีที่แล้วก่อนที่จะมีเหตุการณ์ bull-run เกิดขึ้น

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อีกประมาณ 2 อาทิตย์ข้างหน้าอาจจะมีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นในปี 2018 ต้องมีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นแน่นอน

อย่างไรก็ตามบทความนี้ไม่ได้เป็นการให้คำแนะนำทางการเงิน เป็นแต่เพียงการแสดงความคิดเห็นเพียงเท่านั้น อย่าเพิ่งลงทุนหากยังมิได้ศึกษาข้อมูลเพียงพอ

ราคา Bitcoin

นาย Mati Greenspan นักวิเคราะห์ตลาดของ eToro ได้เขียนบทความไว้ใน Economist ในปี 1988 ชื่อบทความว่า GET READY FOR A WORLD CURRENCY ที่พูดเกี่ยวกับสกุลเงินทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลหรือการเมืองการปกครอง  

ในปี 2009 มีนักคิด Satoshi Nakamoto ได้คิดค้น P2P สกุลเงินดิจิตอลที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตซึ่งควบคุมโดยหลักการทางคณิตศาสตร์ จนเกิด Bitcoin ที่เรากำลังวิเคราะห์มูลค่าของมันว่าจะพุ่งสูงขึ้นอีกเมื่อไร

มูลค่าของ Bitcoin นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนการครอบครองเหรียญ ตามที่อธิบายโดยนาย Jimmy Song เหรียญ Bitcoin นั้นมีอยู่อย่างจำกัด แต่กระนั้นการได้มาและการเก็บเหรียญ Bitcoin นั้นมันก็เป็นสิ่งที่ง่ายทำให้ Bitcoin เป็นเหรียญดิจิตอลที่นิยมนำมาใช้แทนเงินซึ่งในปัจจุบันนี้มันง่ายมากที่จะแลกเปลี่ยนและใช้ Bitcoin

มูลค่าของ Bitcoin

พิจารณามูลค่าทางการเงินทั่วโลกและตลาดหลักทรัพย์เปรียบเทียบกับคริปโตเคอร์เรนซี ถ้าตอนนี้ Bitcoin มีมูลค่า 115 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายถึงเมื่อ 10 เปอร์เซ็นต์ของความมั่งคั่งทั้งหมดผันเปลี่ยนจากหุ้นและทองมาเป็น Bitcoin จะมีเงินมูลค่าประมาณ 7-8 ล้านล้านดอลลาร์เข้ามาในตลาด

ถ้า volume ของ Bitcoin มีมูลค่า 2-3 ล้านดอลลาร์ยังมีผลกระทบในราคาตลาด Cryptocurrency มากขนาดนี้ คุณสามารถจินตนาการผลที่ตามมาได้หรือไม่หากมันมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในบางประเด็นเราต้องถามตัวเองว่า: Bitcoin สามารถขึ้นไปสู่ $100,000 ได้จริงหรือไม่และถ้าหาก 1 เหรียญ Bitcoin มีมูลค่าเท่ากับ 1 ล้านดอลลาร์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น

มันมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ราคาของสกุลเงิน Cryptocurrencies ทั้งหมดลดลงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น การออกกฎห้าม การออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีบางอย่าง หรือการควบคุมราคา เป็นต้น อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวก็ไม่ได้ส่งผลต่อราคา Bitcoin ในระยะยาว ยิ่งคนซื้อ Bitcoin มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มขอบเขตการใช้ Bitcoin ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ณ ขณะนี้ถ้าคุณถือ Bitcoin ประมาณ 0.1 Bitcoin คุณจะเป็นกลุ่มคนเพียงแค่ 1% ที่ได้ครอบครองเหรียญ Bitcoin มากขนาดนั้น ทำให้คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตผู้คนจะได้ครอบครองเหรียญ Bitcoin ในสัดส่วนที่น้อยมาก เนื่องจากอุปทานของ Bitcoin จำกัดอยู่ที่ 21,000,000 การครอบครอง Bitcoin เพียงแค่ 0.1 ก็เป็นจำนวนที่สำคัญต่อ Threshold และอาจกลายเป็นหนึ่งใน 1% ของคนที่มีสัดส่วนการถือเหรียญ Bitcoin มากที่สุดในโลก

เมื่อไรราคา Bitcoin จะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง

พิจารณาจากตำแหน่งในกราฟดังกล่าวโดยนำปัจจัยที่เคยเกิดขึ้นมาวินิจฉัยซึ่งมีลักษณะคล้ายกับช่วง bullish season จากเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งกลายเป็นความสนใจของผู้คนในคริปโตเคอร์เรนซีมีมากขึ้นซึ่งก็มีหลายเหตุผลด้วยกันที่ส่งผลต่อการขึ้นลงของราคา Bitcoin สามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้

(1) การขึ้นลงของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

 

จากกราฟดังกล่าวซึ่งแสดงราคาของ Bitcoin ในช่วงปี 2013-2018 จะเห็นได้ว่าในไตรมาสที่สี่ของทุกปีจะเป็นช่วงที่ราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นที่สุด

ข้อถกเถียงหลัก ๆ ที่คนส่วนใหญ่โต้แย้งกันว่าทำไมราคาของ Bitcoin ถึงพุ่งสูงขึ้นนั้นมีความเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาของตลาดคริปโต กล่าวคือในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีดูเหมือนว่าราคาของคริปโตเคอร์เรนซีจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งมันก็เกิดขึ้นสองสามครั้งในช่วงที่ผ่านมา เช่น ตั้งแต่ปี 2013 -> 2014, 2015 -> 2016, 2016 -> 2017 และสุดท้ายปีที่แล้วตั้งแต่ปี 2017 -> 2018

ถ้าลองพิจารณาจากทฤษฎีทางคณิตศาสตร์และความเป็นไปได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ราคาของ Bitcoin จะไม่เพิ่มขึ้น นั่นคือตั้งแต่ 2013-2018 Bitcoin ราคาพุ่งสูงขึ้น 4 ครั้งจากทั้งหมด 5 ครั้ง แล้วมีปัจจัยอื่น ๆ อีกหรือไม่ที่ส่งผลกระทบต่อราคา Bitcoin ก็อาจจะมี เช่น ความไม่มีแบบแผนหรือกฎตายตัวที่ส่งผลต่อราคาซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจ

(2) ความสนใจของผู้คน

สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือจำนวนคนที่สนใจใน Bitcoin ส่งผลต่อราคาของมัน กล่าวคือเมื่อใดก็ตามที่ราคาของมันเพิ่มสูงขึ้น คนก็จะเริ่มสนใจและค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin มากขึ้นเพราะการลงทุนจะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณไม่มั่นใจว่าคุณไม่ได้ลงทุนในจุดต่ำสุดหรือในระดับราคาที่สมเหตุสมผลที่ทำให้ความเสี่ยงในการขาดทุนของคุณลดน้อยลง หลักการลงทุนที่ฉลาดคือหากคุณต้องการลดความเสี่ยงในการขาดทุนให้ลองซื้อ Bitcoin ในตอนที่ระดับความสนใจของผู้คนอยู่ในระดับต่ำสุดเนื่องจากเมื่อคนสนใจน้อย ราคาของ Bitcoin ก็จะต่ำลงไปด้วย

หากคุณต้องการหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคาดการณ์ราคาของ Bitcoin คุณสามารถอ่านบทความที่ตีพิมพ์ในปี 2015 นี้ได้ หรือบทความจาก Business Insider ที่ตีพิมพ์ในช่วงปลายปี 2017 ก็สรุปไว้ว่าราคาของ Bitcoin กับการค้นหาข้อมูลของมันทาง Google มีความสัมพันธ์กันมาก

(3) การวิเคราะห์เชิงเทคนิค

จากการวิเคราะห์ของคุณ Mati Greenspan, Alessio Rastani,  Datadash, และคุณ SunnyDecree ซึ่งสามารถเข้าไปดูใน Youtube, Medium หรือ Twitter เพิ่มเติมได้ พวกเขาได้วิเคราะห์เอาไว้ว่าโดยภาพรวมสิ่งที่พวกเขาวิเคราะห์คือการคาดว่าจะมีอะไรที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในสองสามสัปดาห์ถัดไป ปัจจัยที่พวกเขานำมาวิเคราะห์ก็เชื่อมโยงกับหัวข้อ (1) การขึ้นลงของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และหัวข้อ (2) ความสนใจของผู้คน ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นด้วยเช่นกัน

ราคาของ Bitcoin นั้นบอกอะไรเรา

สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาความผันผวนของราคา Bitcoin อยู่ในจุดต่ำสุดตั้งแต่ปี 2016 นั้นหมายความว่าการสวิงของราคาไม่น่าจะเกิดขึ้นหากวอลลุ่มยังอยู่ในระดับที่ต่ำ แม้ดูเผิน ๆ แล้วจะเหมือนกับตลาดหมีแต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรเข้าใจคือจุดผันเปลี่ยน (tipping point) จะเกิดขึ้นเมื่อคุณไม่คาดคิด

ในตอนนี้จะเห็นได้ว่ามีการขาย Bitcoin เป็นจำนวนมาก ความจริงคือมันไม่ค่อยมีใครสนใจในการเทรด Bitcoin (หากดูจาก volume) ซึ่งก็หมายความว่าการสวิงของราคานั้นแทบจะไม่น่าเกิดขึ้น (ดูได้จากค่าความผันผวน) ปัจจัยทั้งสองสอดคล้องกับการที่คนไม่สนใจใน Bitcoin (จุดที่ 2)

ก่อนที่จะเข้าสู่การ bull-run มีข้อควรพิจารณาเล็กน้อยตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอกไว้คือ

  1. เงินสดจะต้องเข้าสู่ตลาดผ่านทางเว็บเทรดเพิ่ม volume
  2. เมื่อ volume เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม ผู้ขายระยะสั้นจะน้อยลงและราคาในระยะสั้นของ Bitcoin จะเพิ่มขึ้น
  3. จำเป็นต้องแยกแยะและทำลายกำแพงราคาปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 8,000 เหรียญสหรัฐ
  4. ค่าเฉลี่ยที่เคลื่อนไหวอยู่ใน 100 วันนี้ต้องเกินค่าเฉลี่ยใน 200 วัน
  5. ค่าเฉลี่ยใน 50 วันต้องเกินค่าเฉลี่ยใน 100 วัน

อาจกล่าวได้ว่าถ้าหากราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้คนหันมาสนใจและซื้อ Bitcoin มากขึ้น ตาม FOMO

บทสรุป

หากเกิด bull-run ขึ้นมันจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญต่อราคา Bitcoin ในแต่ละช่วงเวลาและสุดท้ายก็จะหายไป เมื่อเงินเข้าสู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น เงิน 1 ดอลลาร์จะส่งผลกระทบต่อราคาโดยรวมของ Bitcoin น้อยลง หมายความว่าหาก volume มีมากขึ้น การกระจาย (distributed) ของ Bitcoin ก็จะมีมากขึ้นเช่นกันและทำให้การควบคุมราคาของ Bitcoin มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก ทำให้มันมีการแลกเปลี่ยนที่คงที่มากยิ่งขึ้น

ที่มา ccn

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น