<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สตาร์ทอัพคริปโตชั้นนำเผย “ในปี 2018 มีปริมาณการเทรดคริปโตแบบ OTC 769 พันล้านบาท”

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

อ้างอิงจากโพสต์บน Medium เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา Circle สตาร์ทอัพคริปโตชั้นนำเผยว่า พวกเขาได้ทำการเทรด OTC ไปเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เป็นปริมาณกว่า 24 พันล้านดอลลาร์ หรือ 769.81 พันล้านบาท

ในประกาศได้ระบุว่า Circle ทำการเทรดแบบ OTC จำนวนกว่า 10,000 ครั้งกับลูกค้ากว่า 600 ราย และได้เคลมตัวเองว่าเป็น “ผู้ให้บริการ Liquidity เจ้าหลักในวงการคริปโตทั้งหมด”

อ้างอิงจาก Circle พวกเขาได้จับมือกับลูกค้าระดับสถาบันกว่า 1,000 แห่ง เช่นเว็บเทรด, โปรเจกต์โทเคน, ผู้ให้บริการ OTC, ผู้บริหารสินทรัพย์ และสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลก

“ในปีนี้ เราคาดการณ์ว่า สถาบันการเงินยอมรับคริปโตมากขึ้นจากการใช้งาน Stablecoin ที่เพิ่มขึ้น, Solution การคุ้มครองสินทรัพย์ระดับสถาบันที่ดีขึ้น, ความชัดเจนของกฎหมายในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐานของคริปโตที่พัฒนาไปไกลขึ้น”

การเทรดแบบ OTC นั้นจะเป็นการจับคู่ผู้ซื้อกับผู้ขายโดยตรง ไม่ผ่านตัวกลางทั่วไปเช่นเว็บเทรดคริปโต การเทรดแบบ OTC นั้นเป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุนระดับสถาบันที่จะเข้ามาลงทุนคริปโต ซึ่งในตอนนี้มีเจ้าใหญ่ ๆ ที่ให้บริการอยู่เช่น Circle และ Coinbase

เงินจากสถาบันไม่มากเท่าที่ควร

ถึงแม้จำนวน 24 พันล้านดอลลาร์จะดูเป็นจำนวนที่มาก แต่หากลองพิจารณาใน 1 ปี ก็จะเท่ากับว่าเพียงวันละ 65 ล้านดอลลาร์เท่านั้น และถ้านำไปเทียบกับปริมาณการเทรดของตลาดคริปโตทั่วไปมันก็ไม่ใช่ตัวเลขที่มากมายอะไร อ้างอิงจาก Coinmarketcap ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีปริมาณการเทรดอย่างต่ำ 14 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า นี่เป็นเพียงปริมาณการเทรดของ Circle เจ้าเดียวเท่านั้น ยังมีเจ้าอื่น ๆ ที่ให้บริการเช่นกัน แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวเลข

ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปริมาณการเทรดคริปโตนั้นจากสถาบันเจ้าใหญ่ ๆ นั้นยังไม่มีมากเท่าที่ควร ไม่แน่ว่าในเร็ว ๆ นี้ที่ Bakkt แพลตฟอร์มเทรดคริปโตยักษ์ใหญ่ เปิดตัวขึ้นมา ก็อาจจะทำให้มีเงินจากสถาบันไหลเข้ามาผลักดันตลาดมากกว่านี้ก็เป็นได้

เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นาย Michael Novogratz ผู้ก่อตั้งบริษัทด้านการลงทุนคริปโตชื่อดัง Galaxy Digital ก็ได้ออกมาทำนายเช่นกันว่า Bitcoin จะไปทำ All-Time High ในไตรมาสที่ 1 หรือ 2 ของปี 2019 เนื่องจากเงินของสถาบันที่จะไหลเข้ามา ซึ่งก็ต้องติดตามว่า เงินจากสถาบันจะไหลเข้ามาจริงหรือไม่ในปีนี้

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น