คนหนุ่มสาวชาวอเมริกันไม่ถูกกับธนาคารมาเป็นเวลานานแล้วเนื่องจากพฤติกรรมของธนาคารชอบเอาเปรียบลูกค้าเหมือนกับว่าตนเองเป็นผู้ล่า และลูกค้าของธนาคารก็จำต้องยอมทนกับระบบแบบนี้เรื่อยมา แต่สำหรับคน Gen Y (ผู้คนที่เกิดตั้งแต่ช่วงปีค.ศ. 1981-2000) ที่ได้รับสมญานามว่าล้มมาแล้วทุกอุตสาหกรรมก็ได้ประกาศถึงความไม่ยอมจำนนกับธนาคารอีกต่อไปแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าคน Gen Y กำลังพยายามหาวิธีการทำเงินใหม่ ๆ อยู่
เลิกกับธนาคารแล้ว
ในช่วงวิกฤติทางการเงินปี 2551 ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำลงไปจนถึง 0 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คน Gen Y จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย (โดยมีหนี้ที่เป็นเงินกู้เพื่อการศึกษาติดตัวอยู่) และกำลังจะก่อร่างสร้างตัว ทั้งนี้คน Gen Y แทบจะไม่ได้ดอกเบี้ยจาการฝากเงินในธนาคารเลย ในขณะที่ธนาคารเองก็นำเงินฝากเหล่านี้มาคิดเป็นดอกเบี้ย 25 เปอร์เซ็นต์กับลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิต และเก็บ 90 เปอร์เซ็นต์ไว้ที่ตัวเอง ส่งผลให้ผู้บริหารธนาคารหลายรายมีบันทึกออกมาว่าได้รับเงินเดือนและโบนัสที่สูงในปี 2552 ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องพยายามชักหน้าให้ถึงหลังในแต่ละเดือน
จากที่กล่าวมาอาจสรุปได้ว่าสิ่งนี้เป็นความสัมพันธ์แบบด้านเดียว กล่าวคือ คน Gen Y ให้ ส่วนธนาคารก็รับ แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ที่ดีนั้นจะอยู่พื้นฐานของความเชื่อใจเสมอ แต่คน Gen Y ก็ไม่ได้เชื่อใจธนาคาร และจากการศึกษาของ Edelman ในปี 2561 เผยว่า 77 เปอร์เซนต์ของคน Gen Yที่ร่ำรวยนั้นรู้สึกว่าระบบการเงินการธนาคารถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนรวยและมีอำนาจ และ 75 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y กังวลว่าระบบธนาคารของโลกจะถูกแฮ็ค ทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขานั้นหายไป นอกจากนี้อีก 77 เปอร์เซนต์ยังคิดว่าพฤติกรรมแย่ ๆ ที่ธนาคารทำอยู่ตอนนี้จะนำไปสู่วิกฤติการณ์ทางการเงินอีกครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้นการมีธนาคารถือเป็นข่าวร้ายสำหรับคน Gen Y และจากการสำรวจพบว่า 70 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y ที่ร่ำรวยรู้สึกว่าธนาคารสร้างระบบการซื้อขายที่ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น และอีก 71 เปอร์เซนต์กล่าวว่าธนาคารมีความไม่แน่นนอนอยู่ในตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์เชิงเอาเปรียบและไม่มั่นคงสำหรับลูกค้า แต่โชคดีที่ตอนนี้คน Gen Y รับรู้และกำลังจะถอนตัวออกจากธนาคารเหล่านี้แล้ว
มีดัชนีเกี่ยวกับคน Gen Y กล่าวว่าธุรกิจการธนาคารเป็นสิ่งทีก่อความรำคาญให้กับคน Gen Y มากที่สุด และ 71 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y ยังกล่าวเสริมอีกว่า อยากไปหาหมอฟันมากกว่าฟังสิ่งที่ธนาคารพูด นอกจากนี้ยังมีดัชนีที่เผยว่าในบรรดาสินค้า 10 ยี่ห้อที่คน Gen Y ไม่ชอบยังมีชื่อของธนาคารชั้นนำ 4 แห่งอยู่ในนั้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการพิสูจน์ไปอีกว่า ธนาคารเป็นสถาบันที่เป็นเสมือนคนแก่ที่แบ่งชนชั้นและเหยียดเชื้อชาติลูกค้าเมื่อมาทำธุรกรรมการกู้ยืม และไม่ให้บริการกับประชาชนที่ยากจนรวมทั้งคิดอัตราดอกเบี้ยแพง ๆ กับประชาชนที่ต้องการนำเงินมาใช้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แสดงถึงคู่รักที่กำลังทะเลาะกันอีกแล้ว แต่มันคือการเลิกกัน
การหลงรักคริปโตเคอเรนซี
คริปโตเคอเรนซีเป็นเหมือนไหล่ที่ให้คน Gen Y ซบในเวลาที่เสียใจและเสียเงิน ซึ่งตอนนี้ 17.2 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y มีคริปโตแล้ว และจากการศึกษาของ Edelman เผยว่า 25 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y ที่ร่ำรวยและมีคริปโตนี้ มี 31 เปอร์เซ็นต์ที่สนใจเกี่ยวกับคริปโต และมี 74 เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อว่าบล็อกเชนจะทำให้ระบบการเงินของโลกนั้นปลอดภัยยิ่งขึ้น
นอกจากนี้จากการศึกษาของ Sustany Capital เผยว่า 88 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y ต้องการใช้คริปโตเคอเรนซีในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการลงทุน ในขณะที่อีก 42 เปอร์เซนต์ต้องการใช้คริปโตเคอเรนซีในฐานะที่เป็นเงินเก็บ
ความน่าสนใจอยู่ที่ตรงที่ พวกเราแค่ต้องการเพื่อนที่ไว้ใจได้มาเล่นเกมจับคู่กัน โดยคน Gen Y ลังเลที่จะลงทุนในคริปโตเนื่องจากไม่มีความรู้ แต่อีก 97 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y และคน Gen X กล่าวว่า พวกเขาต้องศึกษาให้มากกว่านี้ และอีก 73 เปอร์เซนต์ของคน Gen Y มีแนวโน้มที่จะลงทุนในคริปโตก็ต่อเมื่อได้รับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งอาจสรุปได้ว่าจะต้องมีบุคคลที่มีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซีมาอธิบายให้ผู้ที่จะมาลงทุนฟังว่าคริปโตมีประโยชน์ ปลอดภัยและเป็นธรรมอย่างไร
เรื่องราวโรแมนติกที่มีคุณค่าในตัวเอง
ผู้คนมากมายกล่าวว่าคริปโตเป็นเหมือนแฟชั่นที่กำลังจะผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาตลาดลดลงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่สำนักข่าว Bloomberg เผยอีกนัยหนึ่งว่า ถึงแม้ราคา bitcoin จะลดลงไปถึง 80 เปอร์เซนต์ในช่วงปี 2561 แต่จำนวนการเปิดบัญชีเพิ่มสูงขึ้นป็นสองเท่าถึง 35 ล้านบัญชีในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความนิยมของคริปโตเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
ความสัมพันธ์ที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันได้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การดึงดูดซึ่งกันและกันหรือเรื่องราวความรักที่แต่งเป็นนวนิยายแล้ว แต่เป็นคุณค่าที่มีร่วมกันอย่างลึกซึ้ง สำหรับคน Gen Y แล้ว คริปโตเป็นเงินที่ใช้ได้ในทางปฏิบัติ เนื่องจากมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าและสามารถโอนแก่กันได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านคนกลาง ส่วนบล็อกเชนก็เป็นระบบมีความมั่นคง ทำให้นายธนาคารต่าง ๆ ไม่สามารถขโมยเงินไปได้ ดังนั้นมันจึงไม่มีความแตกต่างระหว่างการกู้เงินสำหรับนักศึกษาหรือสำหรับสถานภาพทางสังคมอื่น ๆ อีกแล้ว อีกทั้งคริปโตยังเป็นสิ่งที่คน Gen Y ซื้อด้วยความรู้สึกนึกคิดของเขาเอง ไม่ใช่การถูกล่อซื้อโดยธุรกิจธนาคาร
คุณค่าเหล่านี้สามารถอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องคำนึงถึงการขึ้นลงของราคาในตลาด ดังที่ Charles Hoskinson ผู้ก่อตั้ง Cardano รีทวีตว่า พาดหัวข่าวเกี่ยวกับธนาคารตามสื่อต่าง ๆ และสภาพของ bitcoin ในปัจจุบันที่ขาดทุนนี้ ไม่ได้ทำให้พวกเขารับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเราบ้างเลย เงินจำนวน 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐได้ถูกปลดแอกจากระบบการเงินการธนาคาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการปลดแอกเศรษฐกิจจากระบบของธนาคาร
ในตอนนี้คน Gen Y กำลังมองหาการบริการใหม่ ๆ ที่ตรงกับความสนใจของคน Gen Y มากที่สุดและจะช่วยสนับสนุนสังคมในรูปแบบที่ไม่ใช่ธนาคาร คริปโตเป็นส่วนผสมที่เข้ากันระหว่างการใช้ได้จริงในทางปฏิบัติและความรักความชอบ ซึ่งคุ้มค่ากับการจ่ายเงินเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา สำหรับคน Gen Y แล้วคริปโตเป็นเหมือนเงินที่เอากลับไปให้พ่อกับแม่ได้
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น