<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เกาะติดสถานการณ์เหรียญ GlobalCoin ของ Facebook เป็นมาอย่างไร และจะได้ใช้ตอนไหน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

วันที่จะเปิดตัวเหรียญคริปโตของโซเชียลมีเดียระดับโลก Facebook นั้นใกล้เข้ามาแล้วแม้ Facebook ยังไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะอย่างเฉพาะเจาะจงในเรื่องของวัน แต่ความสนใจของ Facebook ต่อคริปโตเคอร์เรนซีก็มีอยู่เรื่อย ๆ และมีความเคลื่อนไหวตลอดในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา

นอกจากนี้อดีตประธานของ PayPal นาย David Marcus กำลังสร้างคริปโตเคอร์เรนซีที่มีสินทรัพย์หนุนหลังเพื่อนำมาใช้ภายในแอปพลิเคชั่นการส่งข้อความของบริษัท เช่น WhatsApp, Instagram และ Facebook Messenger

รายงานล่าสุดเผย “GlobalCoin” จะเปิดตัวในสิบประเทศภายในไตรมาสแรกของปี 2020 อย่างไรก็นาย Mark Zuckerberg มีความสนใจที่เดินเข้ามาสู่การเป็นบริษัท Fintech มาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งต่อไปนี้จะเป็นการไล่ไทม์ไลน์ของ Facebook เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวด้านคริปโตเคอร์เรนซี

เดือนธันวาคม 2017

ย้อนกลับไปในช่วงเดือนธันวาคมปี 2017 เป็นครั้งแรกที่ทาง Facebook ได้เข้ามาสนใจ distributed ledger technology เมื่อนาย David Marcus ได้เข้าไปร่วมนั่งบอร์ดผู้บริหารของ Coinbase ซึ่งในตอนนั้นนาย Marcus เป็นรองประธานของฝ่ายผลิตภัณฑ์การส่งข้อความของ Facebook ซึ่งก็คือ Massenger กับ Whatsapp ที่ Facebook ได้เข้าซื้อมาในปี 2014 มูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้ว่าจะมีแอปพลิเคชั่นการส่งข้อความแล้วแต่ทาง Facebook ก็ยังไม่มีระบบการชำระเงินในแอปพลิเคชั่นอย่างของแอป ฯ Wechat ของประเทศจีน ซึ่งนาย Marcus ก็เห็นปัญหาจุดนี้และพยายามแก้ไขให้ Facebook มีวิธีการชำระเงินในแอป ฯ

เดือนสิงหาคม 2018

ในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2018 มีสัญญาณว่าทาง Facebook จะสร้างโปรเจ็คคริปโตของตนเองอย่างจริงจังเมื่อตอนที่นาย Marcus ได้ลาออกจากบอร์ดบริหารของ Coinbase ซึ่งนาย Marcus ได้ถูกมอบงานให้ดูเรื่องของเทคโนโลยี Blockchain อีกครั้งในช่วงเดือนเมษายนปี 2018 ทั้งนี้การที่นาย Marcus ลาออกก็เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดกันของผลประโยชน์

ธันวาคม 2018

ในเดือนธันวาคมปี 2018 มีรายงานจาก Bloomberg เผยว่า Facebook ต้องการที่จะสร้าง stablecoin ของตน ในช่วงนั้นเหรียญ stablecoin ได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะเหรียญ USDT ของ Tether รวมถึงเหรียญคู่แข่งอื่น ๆ เช่น Ampleforth, TrueUSD และ Basis

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ของ Facebook ในช่วงนั้นก็มีรายงานออกมาว่าต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศอินเดียเป็นหลักซึ่งก็เป็นความทะเยอทะยานของ Facebook อย่างไรก็ตามมันก็มีแหล่งข่าวเผยออกมาว่า Facebook อาจจะพักโปรเจ็ค stablecoin ไปก่อน และอีก 9 เดือนต่อมารายงานจาก New York Times ก็เผยว่า Facebook ต้องการรวมแอ ฯ Instragram, WhatsApp และ Messenger ซึ่งก็คงจะเป็นเหตุผลด้านกลยุทธ เพิ่มผู้ใช้งานที่จะเข้ามาทำการชำระเงินด้วยคริปโตของทาง Facebook

กุมภาพันธ์ 2019

ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์มีรายงานจาก Cheddar ว่า Facebook ได้ซื้อบริษัท Blockchain สัญชาติอังกฤษชื่อ Chainspace แล้วซึ่งอันที่จริงมันเป็นเพียง “การจ้างงานชั่วคราว” เท่านั้นคือมันเป็นการจ้างคนมากกว่าการซื้อ Chainspace

นอกจากนี้ทาง Facebook ก็ได้ประกาศตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain ในช่วงต้นปี 2019 หลังจากนั้นไม่นานมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า Facebook กำลังมองหานักลงทุนเพื่อสนับสนุนโปรเจ็คของตน นักลงทุนหลายคนใน Silicon Valley ก็เผยว่าทาง Facebook กำลังหาเงินมาสนับสนุนโปรเจ็คของตนอยู่ แต่รายละเอียดของโปรเจ็คยังไม่ได้มีการเปิดเผยออกมา

แหล่งข้อมูลหลายแห่งหนึ่งก็ได้ยืนยันว่า Facebook กำลังสร้างโปรเจ็ค Blockchain อยู่และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโปรเจ็คก็ได้ลงนามในข้อตกลงว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูล ในเดือนกุมภาพันธ์มีแหล่งข่าวของ New York Times เผยว่า Facebook ได้เข้าพูดคุยกับเว็บเทรดชั้นนำแล้ว ซึ่งก็คือเว็บเทรด Coinbase และ Gemini

เมษายน 2019

ความเคลื่อนไหวที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการประกาศของ Facebook เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวโดยนาย Mark Zuckerberg ได้ออกมาพูดในงาน F8 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นประจำปีสำหรับนักพัฒนา

“ผมเชื่อว่าการที่จะส่งเงินให้ใครบางคนมันง่ายเหมือนกับการส่งรูปถ่าย” นาย Mark Zuckerberg กล่าว

แม้ว่าจะไม่ใช่การพูดถึงคริปโตเคอร์เรนซีออกไปอย่างตรง ๆ แต่มันอธิบายได้ว่าอนาคตของ Facebook อาจจะไม่ใช่การฟีดข่าวสาธารณะอย่างเดียวอีกต่อไป ในทางตรงข้ามแพลตฟอร์ม Facebook อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มหลักที่นำมาใช้ในการสนทนาแบบส่วนตัวของผู้ใช้งานก็ได้

อย่างไรก็ตามหากเป็นไปตามแผน รายได้จากโฆษณาของ Facebook อาจลดน้อยลง แต่ Facebook ก็จะได้รายได้จากแหล่งอื่นมาทดแทนรายได้จากโฆษณาที่หายไป ซึ่ง Facebook ทำรายได้จากโฆษณาได้เยอะมากคิดเป็นร้อยละ 98 ของ 40 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากการโฆษณาในปี 2017  แต่นักวิเคราะห์ของ Barclays ก็เชื่อว่าเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีของ Facebook จะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทสูงถึง 3 – 19 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2021

พฤษภาคม 2019

ล่าสุดเดือนพฤษภาคมข่าวลือเกี่ยวกับ Facebook กำลังมองหาเงินทุนเพื่อมาสนับสนุนโครงการได้เปิดเผยสู่พื้นที่สาธารณะในทวิตเตอร์ของนาย Nathaniel Popper นักข่าวของ New York Times

ทาง Wall Street Journal ก็ยืนยันว่า Facebook ก็ได้เข้าพูดคุยกับ Western Union และ Visa แล้ว ในขณะเดียวกันสภาคองเกรสก็เริ่มรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของ Facebook และบริษัททั้งสอง จึงได้เลือกผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบสองคนจาก Coinbase ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการธนาคารและการชำระเงินมาก่อนมาดูแล

ต่อมาก็มีผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมโครงการมากขึ้น มีรายงานว่านาย Christian Catalini นักเศรษฐศาสต์ด้านคริปโตชื่อดังก็ได้เข้ามาร่วมกับบริษัท นอกจากนี้ทาง Reuter ก็มีรายงานออกมาว่า Facebook ได้ไปตั้งบริษัทที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในนาม Libra Networks โดยมี Facebook Global Holdings เป็นผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ทาง Facebook ได้ตั้งชื่อโปรเจ็คของตนว่า “Project Libra” ซึ่งในการจดทะเบียนบริษัทก็ได้เขียนวัตถุประสงค์เอาไว้ว่าเป็นการรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินเข้ากับเทคโนโลยี Blockchain ทางสื่อ Le Temps รายงานว่าบุคคลที่ช่วยโปรเจ็ค Libra ยังบริหาร Facebook ในสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วยซึ่งก็คือนาย Majella Goss

และท้ายที่สุดมีรายงานจาก BBC ว่า Facebook จะเริ่มการทดสอบเหรียญ GlobalCoin ภายในสิ้นปีนี้และจะเปิดตัวเหรียญให้ใช้งานในไตรมาสแรกของปี 2020

นอกจากนี้จากรายงานของ BBC ยังเผยว่า Facebook จะนำ GlobalCoin ไปใช้กับร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ ด้วยซึ่งอาจได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งกับผู้ค้าปลีกและ Facebook เนื่องจากบริการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมที่ทำให้กำไรของร้านค้าออนไลน์ลดลง

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น