ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ได้จัดทำแบบสำรวจเกี่ยวกับแนวโน้มการออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางและพบว่า 80% ของธนาคารกลางทั่วโลกนั้นต้องการที่จะเปิดตัว cryptocurrency เป็นของตัวเอง
ข้อมูลดังกล่าวถูกรวบรวมโดย BIS ในช่วงปลายปี 2019 ซึ่งมีธนาคารกลางเข้าร่วมแบบสอบถามรวมทั้งสิ้น 66 แห่งทั่วโลก โดยแบ่งออกเป็นธนาคารกลางที่มาจากประเทศเศรษฐกิจขั้นสูงทั้งหมด 21 แห่งและ 45 แห่งจากประเทศเศรษฐกิจที่เพิ่งเกิดใหม่ (EME)
ผลการสำรวจพบว่า 80% ของผู้เข้าร่วมทั้งหมดกำลังอยู่ในกระบวนการสร้างสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ซึ่งคิดเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปีที่แล้ว นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบด้วยว่า 40% ของผู้เข้าร่วมนั้นเริ่มเปลี่ยนจากการวิจัยเชิงแนวคิดไปสู่การทดลองจริงแล้วและ 10% กำลังริเริ่มพัฒนาโครงการนำร่อง
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับธนาคารกลางของประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ที่กำลังริเริ่มทดสอบโปรเจค CBDC ของพวกเขา :
“โดยทั่วไปแล้วกลุ่มประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่นั้นมีแรงจูงใจที่แข็งแกร่งกว่ากลุ่มประเทศเศรษฐกิจขั้นสูงในเรื่องของการปรับใช้ CBDC กับระบบการเงินแบบดั้งเดิม รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการชำระเงินภายในประเทศ , ความปลอดภัยในการชำระเงินและการรวมเทคโนโลยีทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วทั้งหมดถือว่าเรื่องที่ “สำคัญอย่างมาก” สำหรับประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ แต่สำหรับประเทศเศรษฐกิจขั้นสูงนั้น สิ่งที่เป็นแรงจูงใจพวกเขาเพียงอย่างเดียวเลยก็คือเรื่องของความปลอดภัยในการชำระเงิน”
นอกจากนี้แบบสำรวจยังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน CBDC และพบว่า 15% ของผู้เข้าร่วมจะเริ่มมุ่งเน้นไปที่การซื้อขายสินค้าส่งออก ซึ่งอีก 35% ของผู้เข้าร่วมจะนำใช้ไปกับวัตถุประสงค์ทั่วไป ส่วนผู้เข้าร่วมที่เหลือตอบว่าพวกเขาจะนำไปใช้กับวัตถุประสงค์ทั้งสองอย่าง
การทำงานร่วมกับ CBDC ของประเทศไทย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางสยามบล็อกเชนได้มีการรายงานไปแล้วว่าแบงก์ชาติไทยได้มีการประกาศผลทดสอบเหรียญคริปโต ‘อินทนนท์’ ที่สามารถโอนเงินระหว่างประเทศ
โดยอ้างอิงจากการประกาศจากเว็บของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น ได้มีการเผยถึงการร่วมกันทดสอบเหรียญ cryptocurrency ของแบงก์ชาตินามว่า อินทนนท์ กับเหรียญคริปโตของธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ที่มีชื่อว่า LionRock
ที่น่าสนใจก็คือ พวกเขาได้เผยถึงผลการทดสอบโอนเหรียญดังกล่าวไปมาหากันระหว่างไทย-ฮ่องกง โดยมีใจความว่า
“ผลการศึกษาได้ครอบคลุมถึงประเด็นหลัก ๆ คือ การโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินแบบ real time , การทำธุรกรรมเงินตราระหว่างประเทศ , การบริหารสภาพคล่องและการกำกับดูแล”
ซึ่งเมื่อผลทดสอบเป็นที่น่าพอใจแล้ว มันจะส่งผลให้ทางธนาคารทั้งสองต้องการที่จะพัฒนาเหรียญคริปโตของพวกเขาต่อไป
ปัจจุบันในหลาย ๆ ประเทศนั้นเริ่มที่จะให้ความสนใจในเทคโนโลยี Blockchain และ cryptocurrency กันมากขึ้นนั้น ดูเหมือนว่าในอนาคตอันใกล้ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวคงจะไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นผู้ใช้งานหรือประชาชนนั่นเอง ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าในระยะยาวนั้นเราจะได้เห็นการนำเอาโปรเจคเหรียญ CBDC ของธนาคารทั่วโลกมาใช้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ ได้หรือไม่
ที่มา : cryptopotato
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น