<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

นักลงทุน Bitcoin ไม่ควรปล่อยให้คำว่า ‘ผลตอบแทนสูง’ มาหลอก

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

PlanB ผู้สร้างโมเดล Stock-to-Flow ได้ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์เผยว่าการใช้ Sharpe ratio กับ Bitcoin เพื่อดูผลกำไรจากสินทรัพย์เมื่อมีความเสี่ยงเกิดขึ้นนั้นพบว่า Bitcoin ทำผลกำไรตอบแทนได้มากกว่าตราสารหนี้, ทองคำหรือแม้แต่หุ้น FAANG

เมื่อเขาออกมาโพสต์เช่นนั้นก็ทำให้มีคนไม่เห็นด้วยมากมาย เช่น Willy Woo ก็ออกมาโต้ว่าระยะเวลาในการคำนวณมันไม่สามารถนำมาตัดสินแบบนั้นได้ Bitcoin มันเกิดมาช่วงเวลาสั้นๆ ท่ามกลางตลาดขาขึ้นในภาพใหญ่เท่านั้น ส่วนพวกสินทรัพย์เหล่านั้นมันได้ผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 มาแล้ว

ทั้งนี้ Sharpe ratio นั้นถูกคิดค้นขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล William F. Sharpe เพื่อนำมาพิจารณาผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอ้จากสินทรัพย์ที่ลงทุน หากสินทรัพย์ใดที่มี Sharpe ratio สูงๆ นักลงทุนก็จะสนใจเป็นพิเศษเพราะมันหมายถึงว่าสินทรัพย์นั้นๆ ให้ผลตอบแทนสูง

จากกราฟข้างใต้จะเห็นว่า Sharpe ratio นั้นแทบจะเป็นศูนย์เมื่อสินทรัพย์ที่พิจารณาคือพันธบัตรสหรัฐฯ และทองคำเพราะมันผันผวนน้อยมาก ดังนั้นหากมันมีความเสี่ยงต่ำหรือแทบไม่มีความเสี่ยงเลยนั่นหมายความว่าสินทรัพย์นั้นให้ผลกำไรน้อย

นอกจากนี้แล้วนักวิเคราะห์ก็ยังโต้แย้งความเห็นของ PlanB ว่ามันยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนมากเพียงพอ เพราะข้อมูลที่ PlanB ใช้มันเป็นข้อมูลของปี 2018-2019 ไม่ได้รวมข้อมูลช่วงตลาดล่มของปี 2008 ด้วย รวมถึงช่วงฟองสบู่ dot com ในช่วงปลายปี 90 ซึ่งสภาพตลาดแย่กว่าตลาดขาลงของคริปโตในปี 2018 มากๆ

ด้านของ Nassim Nicholas Taleb ก็ได้ออกมาโต้แย้งว่าจะนำ Sharpe ratio มาใช้กับ Bitcoin ไม่ได้มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย

อีกทั้ง BTC ก็มีความผันผวนอยู่ตลอด ไม่สามารถนำ Sharp ratio มาวิเคราะห์ได้

ที่มา: u.today

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น