นาย Lex Sokolin นั่นเป็นคอลัมนิสต์ของสำนักข่าว CoinDesk และเป็นหัวหน้าของบริษัท Fintech ระดับโลก ConsenSys ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ด้านบล็อกเชนที่ตั้งอยู่ในเมืองบรูคลิน โดยบทความที่จะรายงานต่อไปนี้ถูกดัดแปลงมาจากจดหมายข่าว Fintech Blueprint ของเขา
สงครามการเงินกำลังมาถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่กำลังมาถึงก็ไม่เคยมีรูปร่างที่ชัดเจน ผมไม่สามารถบอกคุณได้ว่าคุกกี้นี้จะแตกสลายได้อย่างไร แต่ผมสามารถบอกส่วนผสมและรสชาติของมันให้กับคุณได้ ดังนั้นหากคุณไม่ได้เตรียมความพร้อมสำหรับโลกใบนี้หัวของคุณก็จะจมอยู่ในทะเลทรายและคุณจะพลาดโอกาสเหล่านั้นไป
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้แผนการเล่นของรัฐบาลนั่นที่มีความโปร่งใสมากขึ้น ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่าเงินเป็นเครื่องมือของรัฐบาลเสมอและหนี้นั้นเป็นวิธีที่คุณจะสร้างอาณาจักร ในการทำสงครามคุณต้องยืมจากธนาคารเหล็ก ภาษีเป็นเส้นเลือดใหญ่ของกษัตริย์และเราเป็นอวัยวะทางร่างกายของเศรษฐกิจและการเมือง การออกมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจนั่นคือ การอนุญาตให้มีการผูกขาดอำนาจเหนือสิทธิพิเศษของรัฐ ซึ่งสิทธิพิเศษนี้จะขู่บังคับเราโดยการใช้ดาบ
บางครั้งมาตรการเหล่านี้อาจจะเพียงพอที่จะเข้าควบคุมกองทุนเงินสำรองของประเทศ ด้วยการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อและอัตราการว่างงาน แต่บางครั้งคุณก็ต้องยอมจ่ายกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับมาตรการ Lockdown มือข้างหนึ่งสั่งอีกมือข้างหนึ่งจ่าย บางครั้งมือข้างที่จ่ายก็อนุญาตให้ใช้เงินจาก PayPal, Intuit, and Square โดยตรง โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตแบบดั้งเดิมเพราะมันสะดวก , รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า
แต่บางครั้งเงินก็เหล่าหมดไปและคุณก็กำลังจะฆ่าธุรกิจเล็ก ๆ
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้มันมีเงินแปลก ๆ ที่พยายามทำตัวเองให้มีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินสดและซ่อนตัวอยู่ในเทคโนโลยี บล็อกเชน บริษัทใหม่ ๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้กู้และยืมเงิน กำลังซื้อเงินเหล่านี้เก็บไปลงใส่ไว้ในกล่องและเปิดตัวหน่วยโทเค็นของพวกเขาขึ้นมา มันไม่ชัดเจนว่าเป็นบริษัทเหล่านี้เป็นใคร ซึ่งบางครั้งพวกเขาอาจเป็นแค่กลุ่มคนที่หลงใหลในระบบโอเพ่นซอรส์บนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
เงินสดมูลค่ากว่า 3 พันล้านดอลลาร์ถูกใช้ในการเข้าซื้อโทเค็นใน Ethereum blockchain , decentralized finance และตอนนี้อยู่ในเว็ปเทรดคริปโต ซึ่งแค่ Marketcap ของ Tether เพียงอย่างเดียวก็มีมูลค่ากว่า 7 พันล้านดอลลาร์แล้วในปัจจุบัน (แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่อยู่ในตลาดคริปโต) และนี่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกแล้วว่าผู้คนกำลังพากันสู่ระบบนิเวศคริปโตเพื่อเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ กันเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่แนวโน้มในการลงทุนและไม่ได้เกี่ยวกับเหรียญ Stable coin ที่เคยมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งดอลลาร์ต่อเหรียญ มันค่อนข้างเป็นเรื่องเกี่ยวกับทิศทางของเงินที่จะไปซะมากกว่า
ในขณะเดียวกันบริษัทสตาร์ทอัพ Libra ของ Facebook ก็พยายามจะสร้างสกุลเงินเหล่านั้นขึ้นมาและอาจมีคนมากมายกว่าสองสามร้อยล้านคนที่ใช้มัน ซึ่งแพลตฟอร์มเทคโนโลยีการเงินที่เป็นสากลของ Facebook นั่นดูเหมือนว่าจะทำงานได้ดีกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมในปัจจุบัน
ปัจจุบันสมาคม Libra Association ได้ปล่อยเอกสาร white paper เวอร์ชั่นสองออกมาแล้ว หลังจากที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างอย่างหนักจากหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งหากพวกเขาสามารถทำสำเร็จ รายได้ดอกเบี้ยจากเงินหมุนเวียนของ Facebook ที่มีมูลค่ากว่าล้านล้านดอลลาร์ก็จะหลั่งไหลเข้าสู่สภาและนั่นจะมีอันตรายมากกว่าที่คุณคิด
เนื่องจากเหรียญ Libra จะเข้าไปอยู่ในตระกร้าสกุลเงินเช่นเดียวกับสกุลเงินอื่น ๆ ของโลก ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีเงินดอลลาร์ดิจิทัล , เงินยูโรดิจิทัลและเงินปอนด์ดิจิทัลตามมาในภายหลัง โดยเราจะเห็นได้จากการมาของ Ethereum และเหรียญ Stable coin ที่ทยอยพากันตามมา อย่างไรก็ตามเอกสาร white paper ล่าสุดของ Libra อาจจะไม่ได้รับการอนุมัติ เนื่องจากมันไม่มีการกระจายอำนาจและอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลในข้อเสนอนี้
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันเป็นสิ่งที่อันตราย คุณเคยได้ยินมาว่าธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกกำลังมองหาหรือกำลังปรับใช้สกุลเงินดิจิทัลที่หลากหลาย ซึ่งเทคโนโลยีที่เหมาะสมเหล่านั้นก็คือ R3 Corda, IBM Fabric, Libra และ Ethereum (Hyperledger Besu +) ไม่มีธนาคารกลางใดที่ต้องการให้ผู้ใช้งานนับพันล้านคนสามารถเข้าถึงเงินของพวกเขาได้อย่างอิสระ การเข้าถึงควรได้รับการวิเคราะห์และปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด
เครือข่าย Libra เป็นผู้สมัครที่แข็งแกร่งในการใช้นวัตกรรม CBDC เนื่องจากการเปิดตัวเงินเฟียตดิจิทัลที่มีการควบคุมบนเครือข่ายโปรโตคอล รวมถึงคุณสมบัติของสาธารณะของเครือข่ายเช่น การตรวจสอบที่มีความโปร่งใสและการใช้ smart contracts และการให้บริการแก่ผู้เข้าร่วมที่ได้รับอนุญาต ดังนั้นเป็นไปได้ว่าโปรเจค Libra อาจจะได้รับอนุมัติเพื่อมาช่วยในเรื่องการแจกจ่ายสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็กหรือรายได้ขั้นต่ำสากล หลังจากที่ช่วงวิกฤต COVID-19 จบลง
ประเทศในแถบตะวันออกก็กำลังใช้แผนการเล่นแบบเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์และเพื่อพัฒนาระบบการให้มีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ประเทศจีนนั้นแตกต่างจากกับตลาดหุ้นยุโรปและยุโรป เนื่องจากนวัตกรรมการเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบดิจิทัลและการเติบโตของประเทศนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์
เงินมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ถูกส่งไปยังการวิจัยและพัฒนาและการทดลองเทคโนโลยี แต่ขณะเดียวกันหน่วยงานกำกับดูแลชาวอเมริกันกลับมองว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่อระบบอธิปไตยทางการเนิง นอกจากนี้เทคโนโลยีดังกล่าวยังถูกส่งออกไปยังเศรษฐกิจเอเชียที่เล็กลงและเป็นโครงสร้างพื้นฐานของ EMEA อีกด้วย
เมื่อไม่นานมานี้จีนเพิ่งเปิดตัวพาร์ทเนอร์ใหม่ BSN Alliance ในกลุ่มสมาชิกของพวกเขาเพื่อมาต่อสู้โปรเจค Libra โดยสมาชิกหลัก ๆ จะประกอบด้วยโรงไฟฟ้าของรัฐบาล , ศูนย์ข้อมูลของรัฐบาล รวมถึงบริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่อย่าง เช่น Ant Financial, Tencent และ Ping An ซึ่งมีเทคโนโลยีบล็อกเชอย่าง Ant “Open Chain” สำหรับธุรกิจ SMEs และนักพัฒนา
ที่น่าสนใจก็คือ BSN ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่โปรโตคอลหรือเครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะรวมอยู่ในเลเยอร์หลายโปรโตคอลที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน Web3 ที่เหนือโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ทั้งหมด ดังนั้นคุณอาจสร้างแอปพลิเคชั่นเพียงตัวเดียวลงใน API ที่เขียนข้อมูลลงใน Hyperledger Fabric หรือ Ant Open Chain และลดความซับซ้อนทั้งหมดออกไป ข้อดีก็คือมันช่วยให้มีการปรับใช้ซอฟต์แวร์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่ข้อเสียคือคุณกำลังใช้ซอฟต์แวร์ที่มีการตรวจสอบโดย CCP
ซึ่งนี่ขัดแย้งกับสิ่งที่ ConsenSys และ Codefi พยายามทำอยู่ เรากำลังทำงานเกี่ยวกับ API และการสร้างเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้ทุกคนสามารถใช้งานได้อย่างอิสระ ตอนนี้ Infura ได้จัดทำเกตเวย์สำหรับนักพัฒนาเพื่อปรับใช้กับ Ethereum และ MetaMask ก็ช่วยให้มีการเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมาก ซึ่งหากต้องการให้ผู้คนนับล้านเขียนโค้ดขึ้นมา มันก็จำเป็นต้องมีชุดเครื่องมือที่ใช้งานได้ง่าย
“ผมอยากให้มีการสร้างตลาดเสรีขึ้นมามากกว่าที่มันถูกออกแบบและบริหารจัดการโดยภาครัฐ ในทำนองเดียวกันผมก็ต้องการให้บริษัทโทรคมนาคมมอบบริการอินเทอร์เน็ตที่เสรีให้แก่เราแทนที่จะนั่งหลังไฟร์วอลล์อันยิ่งใหญ่ของพวกเขา” นาย Lex Sokolin กล่าว
ที่มา : coindesk
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น