นาย Scott Stornetta ได้ออกมาพรีเซนต์ในงานด้าน Blockchain ที่ถูกจัดขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยหัวข้อหลัก ๆ ที่เขาพูดถึงนั้นก็คือเรื่องของต้นกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain นอกจากนี้ยังได้มีการพูดถึงเอกสารของนาย Scott Stornetta และ Stuart Haber ยังได้ถูกกล่าวถึงใน whipaper บิทคอยน์ของซาโตชิ นาคาโมโตะเมื่อปี 2009 อีกด้วย ดังนั้นจึงมีคนคาดการณ์กันว่านาย Stornetta นั้นคือซาโตชิ แต่กระนั้นเขาก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่ในตอนหลัง
เมื่อปลายปี 80 นั้นนาย Stornetta ได้เข้าร่วมงานในบริษัท Bell labs ทว่าก่อนหน้านั้นเขาเคยทำงานที่บริษัท Xerox หรือบริษัทด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาก่อน โดยเมื่อเขาย้ายไปทำงานที่ Bell lavs นั้น นาย Stornetta ก็เริ่มที่จะเจอปัญหาภายในแล้ว ซึ่งเขานั้นได้กลายเป็นพยานในเรื่องอื้อฉาวที่ถูกใครบางคนกั่นแกล้งอยู่เบื้องหลังผ่านน้ำหมึกบนหนังสือพิมพ์ที่ภายหลังเขาค้นพบว่าน้ำหมึกนั้นถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบอื่นนอกเหนือจากแบบเดิมที่เคยใช้ จากนั้นภายหลังเขาก็ได้ยินว่าสื่อสิ่งพิมพ์จะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นดิจิทัล และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มกังวลถึงเรื่องดังกล่าวว่าสื่อดิจิทัลนั้นมีโอกาสที่จะถูกแก้ไขได้ง่ายดายมากว่าสื่อสิ่งพิมพ์
ภายหลังจากนั้นเป้าหมายของนาย Stornetta นั้นก็คือการทำให้การเก็บข้อมูลบนดิจิทัลนั้นไม่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ และเขาก็เริ่มที่จะถูกฝึกฝนให้เป็นนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎี และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ศึกษาในด้านข้อมูลดิจิทัล หรือการเข้ารหัส แต่เขาก็ยังคงให้ความสนใจในด้านดังกล่าวอยู่ดี
เขากล่าวว่า Xerox และ Bell labs นั้นได้ทำให้เขารู้สึกสนใจในการทำโครงการหลายโครงการมาก พร้อมชี้ว่าคุณสามารถที่จะเริ่มทำทุกสิ่งที่อย่างได้เมื่อใดก็ตามที่คุณเจอปัญหา ไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้จัดการมาแจกจ่ายงานให้กับคุณ โดยข้อดีของสิ่งนั้นก็คือผู้คนที่มีความพยายามและเฉลียวฉลาดจะวิ่งเข้ามาคุณเอง เกิดเป็นความร่วมมือกันขึ้น “เรื่องราวของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลกนั้นเกิดขึ้นจากสองสิ่งนี้มารวมกัน”
ใน Bell Labs นั้น นาย Stornetta ได้มาพบเจอกับนาย Haber หรือนักเข้ารหัส ซึ่งนาย Stornetta ได้พูดคุยกับนาย Haber ว่าเขากำลังพยายามพัฒนาระบบเก็บข้อมูลบนดิจิทัลที่ไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงและแก้ไขได้อยู่ และนั่นก็เป็นการถือกำเนิดการพัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกของพวกเขาขึ้น
โซลูชันในตอนแรกของพวกเขานั้นคือการนำเอาฟังค์ชัน hash และ digital certificates มาใช้งาน โดยเอกสารนั้นจะถูกแปลงให้กลายเป็น hash ซึ่งการใช้ hash นี้ถือเป็นคอนเซปต์ขั้นพื้นฐานของการเข้ารหัสเลยก็ว่าได้ ซึ่งหากใครที่ไม่เข้าใจว่า hash คืออะไร ลองนึกถึงตัวเลขผสมตัวอักษรแบบสุ่มที่มีขนาดยาว โดย hash ที่ได้จากการเข้ารหัสเอกสารนั้นก็จะเป็นตัวเลขผสมตัวอักษรชุดหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร และหากมีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขหรือตัวอักษรแค่ตัวเดียวใน hash นั้น ข้อมูลทั้งหมดในเอกสารก็จะถูกเปลี่ยนแปลงหมด
client ที่ต้องการจะทำการบันทึกเวลาการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในเอกสารจะต้องส่ง hash แทนที่จะส่งเอกสารไปที่ระบบ Time Stamping Service (TSS) โดยตัว TSS ที่ว่านี้จะทำการบันทึก hash ของเอกสารเพื่อทำการยืนยันมัน โดยหากคุณสนใจศึกษาเพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปอ่านในเอกสารของพวกเขาได้ โดยมันจะมีการพูดถึงการนำเอาเอกสารมาต่อกันเป็นระบบโซ่ และเอกสารใด ๆ ก็แล้วแต่ที่ได้รับการยืนยันแล้วนั้นก็จะถูกนำไปแขวนต่อจากเอกสารที่เคยได้รับการยืนยันไปแล้วก่อนหน้านี้ และก็จะมีลิงค์เพื่อเปิดเอกสารของก่อนหน้านี้ด้วย
ระบบ TSS นั้นถือเป็นตัว single witness สำหรับตัวบันทึกเวลาที่สามารถถูกโกงหรือแก้ไขได้ โดยทั้งนาย Stornetta และ Haber ต่างก็พยายามอย่างเต็มที่ในการหาโซลูชันเพื่อกำจัดการไว้วางไจออกจากตัว TSS แบบ single witness
โดยภายหลังนั้นนาย Haber ได้แนะนำให้ทำการเขียน paper เพื่อชี้นำถึงวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวก่อนเผื่อว่าจะได้คิดอะไรออก โดยเมื่อพวกเขาเริ่มที่การเขียน paper ไปแล้วนั้น พวกเขาก็ได้เกิดไอเดียในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือการ “แจกจ่ายความไว้วางใจให้กับหลาย ๆ ฝ่าย” ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการสร้างการยืนยันเอกสารแบบหลาย ๆ ครั้งต่อ timestamp ซึ่งผู้ใช้งานทั่วไปนั้นก็สามารถที่จะทำตัวเองเป็นผู้ตรวจสอบพร้อมกับคนอื่น ๆ ได้ ซึ่งพวกเขาได้ตั้งชื่อแนวคิดว่า distributed trust หรือการแจกจ่ายความไว้วางใจ และนั่นก็ถือเป็นต้นกำเนิดของการริเริ่มแนวคิดของการ decentralized ขึ้น
ในเอกสารที่นาย Haber และ Stornetta เขียนขึ้นมานั้นได้มีการพูดคุยถึงการนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งานจริงในด้านการเก็บเอกสาร โดยเฉพาะงานวิจัยในห้องแล็บดิจิทัลที่จำเป็นจะต้องมีการเก็บรักษาข้อมูลให้คงความดั้งเดิมไว้แบบ 100% รวมถึงสิทธิบัตรด้วยเช่นกัน โดยเมื่อมีการแอบเข้ามาเปลี่ยนแปลงข้อมูล record หลัง ๆ ที่ถูกนำมาบันทึกไว้ก็จะเผยให้เห็นว่ามันถูกแก้ไขแล้ว
พวกเขาได้หาวิธีการแก้ไขปัญหา trusted witness โดยการสร้าง witness ใหม่ด้วยการสร้าง hash แบบรายสัปดาห์ที่ไม่สามารถถูกทำลายลงได้ และก็แก้ไขปัญหาจากการมี witness แค่รายเดียว เป็นการให้ผู้คนทั่งโลกมาเป็น witness ร่วมกัน นอกจากนี้พวกเขายังได้มีการเปิดตัว Merkle Tree ที่เป็นตัวช่วยในด้านการเก็บข้อมูลการเข้ารหัสอีกด้วย
โดยหากจะสรุปนั้นก็คือโซลูชันแรกสุดของพวกเขาในการสร้างการเก็บข้อมูลบน timestamp ที่ไม่สามารถถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยที่ข้อมูลนั้น ๆ ถูกนำมาร้อยเรียงกันเป็นห่วงโซ่ ที่ภายหลังถูกเรียกว่า blockchain นั้นถูกพัฒนาขึ้นโดยนาย Stornetta และ Haber ประมาณ 20 ปีก่อนที่ Bitcoin จะถือกำเนิดขึ้น โดยภายหลังซาโตชิก็ได้นำเอาเอกสารดังกล่าวนี้ไปใช้เพื่อพัฒนาต่อยอดเพื่อให้เป็นเหรียญคริปโตที่เราได้ใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้
นาย Stornetta กล่าวว่า Bitcoin นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ชิ้นงานในด้านวิศวกรรม แต่มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง หลัก ๆ เป็นเพราะว่าการสร้างระบบ incentive ด้วย proof of work ขึ้นมา
เมื่อเขาถูกถามว่าเขาเป็นซาโตชิ นาคาโมโตะหรือไม่ เขาตอบว่าหากเขามีโอกาสได้คุยกับซาโตชินั้น เขาจะบอกให้ซาโตชิทำการอ่านเอกสารชุดที่สอง ที่มีการอธิบายถึงเรื่องของการอัพเกรดอย่างปลอดภัย ซึ่งถือเป็นไอเดียด้านการดูแลที่ระบบ Bitcoin นั้นยังทำไม่ได้แบบสมบูรณ์ดีนัก