เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องของผู้ร่วมก่อตั้งเว็ปเทรด Bitcoin Future อันดับต้น ๆ ของโลก BitMEX ที่ถูกรัฐบาลสหรัฐตั้งข้อกล่าวหา
โดยหลังจากการฟ้องร้องคดีทางอาญากับ BitMEX ชุมชมคริปโตต่างถกเถียงกันว่าภาค Defi อาจถูกเพ็งเล็งจากหน่วยงานกำกับดูแลไปด้วยหรือไม่
ในช่วงเมื่อวานนี้ คณะกรรมการการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าของสหรัฐฯ (CFTC) ได้แจ้งข้อหากับผู้บริหาร BitMEX ทั้งสามคนในข้อหาละเมิดพระราชบัญญัติความลับของธนาคาร (BSA) เนื่องจากเว็ปเทรดที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ได้สร้างนโยบายต่อต้านการฟอกเงิน (AML) และนโยบายการยืนยืนตัวตน (KYC) ให้กับผู้ใช้งาน
อย่างไรก็ตามหลายคนสงสัยว่าเว็ปเทรดแบบ Decentralize มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม BSA ด้วยหรือไม่ แม้ว่าโปรเจคส่วนใหญ่จะพยายามกระจายอำนาจและมีการกำกับดูแลไปทั่วชุมชน
อ้างอิงจากโพสต์ทวีตของนาย Adam Cochran นักลงทุนระดับ angel investor และที่ปรึกษาด้าน blockchain เขาได้ทำการตรวจสอบความเป็นไปได้ที่อาจส่งผลกระทบต่อโปรโตคอล DeFi อันเนื่องมาจากคดีของ BitMEX
เขากล่าวโต้แย้งว่า ในขณะนี้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปิดเว็ปเทรดแบบ Decentralize ได้โดยตรง เนื่องจากมันมีลักษณะเป็นการกระจายอำนาจ แต่หน่วยงานกำกับดูแลสามารถกำหนดเป้าหมายไปที่นักพัฒนาหลักที่ถือคีย์ของผู้ดูแลของระบบหรือผู้ให้บริการโดเมนที่เป็นเจ้าของอินเทอร์เฟซฟรอนต์เอนด์ของเว็ปเทรดได้ :
หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับโปรโตคอล ผู้ใช้จำนวนมากจะพากันเลิกใช้และไม่โต้ตอบกับสัญญา Smart contract ซึ่งนั้นเป็นการทำลายโปรโตคอลโดยตรง” เขากล่าว
“ประเด็นสำคัญในที่นี้ก็คือโปรโตคอล Defi ไม่ได้อยู่นอกเหนือขอบเขตของรัฐบาล พวกเขาใช้จุดกดดันกับพวกมันได้เสมอ”
อย่างไรก็ตาม Cochran เชื่อว่าชุมชนคริปโตควรต้องมีกฎระเบียบอย่างเช่น BSA เพื่อนำไปปรับใช้กับ DeFi โดยเขากล่าวเสริมว่า “มันมีความแตกต่างระหว่างการต้องการอำนาจอธิปไตยทางการเงินของคุณกับการเอื้ออำนวยเครื่องมือให้กับเหล่าอาชญากร”
ผู้ใช้ Twitter คนอื่น ๆ กำลังถกเถียงกันว่า เว็ปเทรดแบบ Decentralize อาจมีความปลอดภัยและโปร่งใสมากกว่าเว็ปเทรดแบบ Centralize หรือไม่ ? เนื่องจากความสามารถในการติดตามทุกธุรกรรมบนบล็อคเชน :
“CEX อาจมีส่วนช่วยในการฟอกเงินผ่านฐานข้อมูลแบบส่วนตัวของพวกเขา แต่สิ่งนี้ไม่สามารถทำได้กับ DeFi เพราะทุก ๆ ธุรกรรมเป็นสาธารณะและโปร่งใส ดังนั้น DeFi จึงสามารถติดตามธุรกรรมได้มากกว่าธนาคารเอกชนและเว็ปเทรดแบบ Centralize”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Apollo Capital นาย Henrik Andersson ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เมื่อพูดถึงคดีของ [BitMEX] ผมไม่เชื่อว่าคดีนี้จะถูกนำมาปรับใช้กับ DeFi ในระยะสั้น” เขากล่าวเสริมด้วยว่าโปรเจค DeFi นั้นไม่ควรตื่นตระหนก :
“โปรเจค DeFi จำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ด้วยโค้ดแบบโอเพ่นซอร์ส”
ในขณะเดียวกันนักเทรด CryptoWhale ได้บอกกับผู้ติดตามว่า เขาเชื่อว่ามีโปรเจคในตลาดกว่า 8,800 โปรเจค “ที่ดำเนินการอย่างผิดกฎหมายและกำลังจะถูกปิดตัวลง” ในเร็ว ๆ นี้ รวมถึงเหรียญ DeFi , เว็ปเทรดและเหรียญความเป็นส่วนตัว
อย่างไรก็ตามไม่ว่า Defi จะได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบหรือไม่ สยามบล็อกเชนเชื่อว่ามันจะสามารถผ่านไปได้และมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เหมือนกับที่ ICO เคยเผชิญมาในปี 2017
ที่มา : cointelegraph