ดูเหมือนว่าในขณะนี้ Facebook กำลังตกที่นั่งลำบากอีกครั้ง และเตรียมถูกฟ้องร้องลิขสิทธิ์ชื่อ Diem หลังพยายามเปลี่ยนชื่อโปรเจค Libra stablecoin ไปเป็น ‘Diem’
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางสยามบล็อกเชนได้รายงานไปแล้วว่า Facebook กำลังเปลี่ยนชื่อโปรเจคเหรียญคริปโต Libra ไปเป็น ‘Diem’ ก่อนเปิดใช้งานจริงในช่วงปีหน้า โดยพวกเขาอ้างว่าการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “Diem” ในครั้งนี้ จะเป็นการลบภาพลักษณ์ที่ล้มเหลวทางด้านกฎระเบียบทิ้งไป
อย่างไรก็ตามการประกาศรีแบรนด์ส่งผลให้พวกเขาต้องถูกฟ้องร้องคดีโดยบริษัท Diem ที่มีชื่อเดียวกัน ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
ในแถลงการณ์ของ นาย Geri Cupi CEO ของ Diem เขากล่าวว่า บริษัทของเขาถึงกับ “ตกตะลึง” เมื่อทราบถึงความตั้งใจของสมาคม Libra Association ที่จะรีแบรนด์เปลี่ยนชื่อตัวเองไปเป็น ‘Diem’ :
“ในการเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ เรากังวลว่า ลูกค้าของเราอาจเกิดความสับสนขึ้นได้ อันเป็นผลมาจากการกระทำของ Libra ”
Diem ได้เปิดตัว soft-launch ในเดือนตุลาคม โดยมีผู้ติดตามมากกว่าครึ่งล้าน followers แพลตฟอร์มดังกล่าวช่วยให้ผู้ใช้สามารถขายทรัพย์สินทางออนไลน์ได้ทันทีและนำเสนอบัตรเดบิตโดย Sifted เสมือนว่าแอปนี้เป็น “โรงรับจำนำดิจิทัลสำหรับสินทรัพย์ในประเภทต่าง ๆ”
การฟ้องร้องคดีในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมีลักษณะคล้าย ๆ กันกับการฟ้องร้องคดี Ripple ที่ต้องเผชิญกับการฟ้องร้องคดีจาก New Payments Platform Australia หรือ NPPA ซึ่งกล่าวหาว่า Ripple นั้นมีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอันเนื่องมาจากการใช้แบรนด์ ‘PayID’ โดย NPPA อธิบายว่า พวกเขาได้ให้บริการเครือข่ายชำระเงิน ‘Pay ID’ ในออสเตรเลียมาก่อนแล้ว นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2017
อย่างไรก็ตามคดีนี้ได้ถูกยกฟ้องไปในที่สุด หลัง Ripple จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใหม่ไปเป็น “Paystring”
ความทะเยอทะยานของในโปรเจคเหรียญ Stablecoin ของ Facebook ดูเหมือนจะเป็นที่หมายตาจากหน่วยงานกำกับดูแลระดับโลก
ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีกลุ่ม G7 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา นาย Olaf Scholz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนีได้กล่าวอธิบายว่าโครงการนี้เป็นเหมือน “หมาป่าในคราบแกะ”
โดย Scholz เน้นย้ำว่าฝ่ายผู้ออกกฎหมายของเยอรมนี “จะไม่อนุมัติเหรียญ Stable coin ของ Facebook” นอกซะจากพวกเขาจะสามารถให้ความชัดเจนในเรื่องข้อกังวลด้านกฎระเบียบของรัฐบาลได้ :
“เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าการผูกขาดสกุลเงินยังคงอยู่ในมือของรัฐต่อไป”