<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

[บทสัมภาษณ์พิเศษ] “ทำไมต้องเบิร์นเหรียญ Kub” กับคุณภาสกร ปานนอก CEO Bitkub Blockchain

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากเว็บเทรดคริปโตสัญชาติไทยนาม Bitkub ได้ประกาศการอัปเดตครั้งใหญ่จนทำให้นักลงทุนเหรียญ Kub coin ต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เมื่อพวกเขาได้ออกมาเปิดเผย whitepaper V2 และการเผาเหรียญทิ้งไปนั้น ดูเหมือนจะทำให้หลายคนมีคำถามมากมายเกิดขึ้นรวมถึงทางสยามบล็อกเชนเอง

ดังนั้นทางสยามบล็อกเชนอยากเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนให้กับหลาย ๆ คนในการคำถามสุดพิเศษกับทาง Bitkub เกี่ยวกับเรื่องการเบิร์นเหรียญ Kub ในครั้งนี้ รวมถึงทิศทางของโปรเจกต์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   

บทสัมภาษณ์พิเศษกับทาง CEO Bitkub Blockchain

โดยทาง Siam Blockchain ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ไปยังคุณภาสกร ปานนอก หรือคุณออฟ CEO Bitkub Blockchain technology เกี่ยวกับเรื่องการเบิร์นเหรียญ Kubcoin ที่กำลังเป็นกระแสพูดถึงมากมายในขณะนี้ ด้วย 4 คำถามสำคัญที่นักลงทุนเหรียญดังกล่าวจะต้องถูกอกถูกใจกันอย่างแน่นอน

Bitkub เปิดตัว KUB Coin พร้อมได้ 11 พาร์ทเนอร์ชั้นนำร่วมเป็น Validator Node  บน Bitkub Chain! | by Waranyu Suknantee | Bitkub.com | Medium


Siamblockchain : ทำไม Bitkub ต้องทำการเบิร์นเหรียญ KUB ?

คุณออฟ : นับตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งาน Bitkub chain ที่ผ่านมากว่า 2 เดือนเราได้มีการทดลองพัฒนาโปรเจกต์เพื่อผลักดันการใช้งานในวงกว้าง (Mass adoption) ทั้งโปรเจกต์ PUBG NFTs และ Fans Token รวมถึงการพูดคุยกับผู้ที่สนใจและกำลังจะริเริ่มพัฒนาโปรเจกต์ต่าง ๆ ซึ่งเราพบว่า ค่าธรรมเนียมบนเครือข่ายนั้นเป็นอุปสรรคในการผลักดันการใช้งานในวงกว้าง (Mass Adoption) เราจึงได้มีการปรับปรุงบล็อกเชน โดยปรับลดค่า Gas price ลงถึง 10 เท่า และได้ปรับจำนวนเหรียญให้สอดคล้องกัน ซึ่งสัดส่วนงบประมาณสำรองของบริษัทถูกลดลงมากที่สุด จากอัตราส่วน 30% หรือ 300,000,000 เหรียญใน V1.0 เหลือเพียง 9% หรือ 10,000,000 เหรียญ เท่านั้น และยังถูกล็อกไว้เป็นระยะเวลา 3 ปี และจะค่อย ๆ ทยอยปลดล็อคเป็นรายปี ทั้งนี้เพราะเราต้องการให้เหรียญกระจายอยู่ในมือของนักลงทุน และผู้ใช้งาน ผลักดันให้เกิด Ecosystem ผ่านทาง Community

ทั้งนี้การเบิร์นเหรียญจะเกิดขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 โดยทำการเบิร์นทั้งหมด 890 ล้านเหรียญในทีเดียว ซึ่งจะทำให้จำนวนเหรียญลดจาก 1,000 ล้านเหรียญ เหลือเป็นจำนวน 110 ล้านเหรียญ เท่านั้น และสัดส่วนของเหรียญในส่วนอื่น ๆ ก็จะถูกปรับลดตามกันไป ทั้งนี้จำนวนเหรียญประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด หรือประมาณ 60 ล้านเหรียญ ได้ไหลเวียนอยู่ในระบบ ตั้งแต่การออกเหรียญใน V1.0 รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ผ่าน Whitepaper V 2.0 บนเว็บไซต์ Bitkub Chain

Siamblockchain : Bitkub คิดว่าการเบิร์นเหรียญ KUB จะส่งผลกระทบต่อราคาในระยะยาวอย่างไร ?

คุณออฟ : ทางเราคิดว่ามูลค่าของเหรียญ KUB ในระยะยาวที่แท้จริงนั้น มาจาก Ecosystem และ Mass adoption ที่เกิดขึ้นบน Bitkub Chain การเบิร์นเหรียญเป็นเพียงการปรับให้สอดคล้องกับการที่เราปรับลด gas price เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวเท่านั้น

อยากให้โฟกัส ที่สัดส่วน tokenomic ที่เราตั้งใจปรับให้โปร่งใส ชัดเจน โดยให้สัดส่วนมากของเหรียญ อยู่ในมือของผู้ใช้งาน และ community เพื่อการกระจายอย่างทั่วถึง

และเราต้องการให้มูลค่าของ KUB สะท้อนถึงความตั้งใจของทีมผู้พัฒนาที่กำลังพัฒนาโปรเจคต่างๆที่เป็นรากฐานบน Bitkub Chain รวมไปถึงจากความต้องการใช้งาน KUB บนระบบจริง ๆ 

Siamblockchain : ทาง Bitkub มีแผนที่จะทำการเบิร์นเหรียญรอบที่ 2 และ 3 ตามมาอีกหรือไม่ ?

คุณออฟ : เราเชื่อว่าการเบิร์นครั้งนี้จะปรับสมดุลให้ Ecosystem ดียิ่งขึ้น เหมาะกับการสร้าง Mass adoption ให้เกิดขึ้นได้จริงบน Bitkub Chain รวมไปถึงใช้ในการสนับสนุนโปรเจกต์ที่ทางเราสนใจเข้าไปร่วมพัฒนา หรือการร่วมงานกับ Strategic Partner ในโครงการต่าง ๆ ต่อไป 

ซึ่งในส่วนนี้ทางเราก็ต้องพิจารณาเพื่อปรับสมดุลของเหรียญบน Ecosystem ให้สอดคล้องกับโปรเจกต์ต่างๆ ค่า Gas price และปริมาณ Transaction ที่จะเกิดขึ้นบน Bitkub Chain ในอนาคตต่อไป

Siamblockchain : มีแผนที่โปรโมทระบบนิเวศของ KUB ไปสู่ระดับโลกอย่างไร ?

คุณออฟ : การผลักดัน Bitkub chain สู่การเป็นที่ยอมรับและเกิดการใช้งานในวงกว้าง ตลอดจนขยายขอบเขตการใช้งานออกไปในระดับโลก เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของเราตั้งแต่ต้น ซึ่งทางบิทคับได้มีการพูดคุยกับ International partners ทั้งในฝั่งของ Cryptocurrency Exchange และ Blockchain Landscape เพื่อมองหาโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวบล็อกเชน การสร้าง Bridge กับบล็อกเชนอื่นๆ การผลักดัน Products ต่างๆ เช่น NFT เป็นต้น โปรเจค Mass Adoption รวมทั้งการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อในโลกคริปโตในต่างประเทศ เป็นต้น เพื่อขยายระบบนิเวศของเราไปสู่ระดับโลกให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2565 ซึ่งก็คือปีหน้านี้