กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกรายงานที่ระบุว่าการใช้ การยอมรับ และความนิยมของ cryptocurrency นั้นเพิ่มสูงขึ้นในประเทศที่มีอัตราคอรัปชันสูง นอกจากนี้ยังพบว่าประชากรในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลในอัตราที่สูงเช่นกัน
โดยจากผลการวิจัยของ IMF ที่ตีพิมพ์ในเรื่อง “Crypto, Corruption และ Capital Controls: Cross-Country Correlations” พบว่า ผู้อยู่อาศัยในประเทศที่ระบบการเงินได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดีนั้น อาจไม่ค่อยรู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องใช้สกุลเงินดิจิทัล โดยองค์กรซึ่งมีสมาชิกกว่า 190 ประเทศ ชี้ให้เห็นว่า ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นของ crypto นั้นมีผลทั้งด้านลบและด้านบวก
“เราพบว่าการใช้สินทรัพย์ crypto นั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับการรับรู้ที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างการทุจริตและการควบคุมเงินทุน” รายงานของ IMFกล่าว
ผลการสำรวจในกว่า 55 ประเทศ ืที่มีผู้ตอบแบบสอบถามราว 2,000 – 12,000 คน เผยให้เห็นว่า cryptocurrency ได้ช่วยให้ประชาชนอยู่เหนืออำนาจรัฐ โดยหลีกเลี่ยงข้อห้ามทางการค้าที่รัฐบาลกำหนด อย่างไรก็ตาม รายงานของไอเอ็มเอฟไม่ได้ระบุรายชื่ออย่างชัดเจนว่ามีประเทศใดบ้าง
นอกจากนี้รายงานของ IMF ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่แต่ละประเทศต้องออกมาตรการ KYC (Know your customer) ก่อนใช้บริการซื้อขายคริปโต หรือทรัพย์สินดิจิทัลชนิดอื่น ๆ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ระบุตัวตนของผู้ใช้งาน ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการฉ้อโกง การฟอกเงิน และการจัดหาเงินทุนของกลุ่มก่อการร้าย ดังเช่นในบางประเทศ อย่าง สหรัฐ ที่ได้เลือกใช้บรรทัดฐานนี้แล้ว
รายงานยังชี้ให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่า สกุลเงินท้องถิ่นมีความเสถียรน้อยกว่าสกุลเงินดิจิตอลชั้นนำอย่าง Bitcoin และ Cryptocurrency ยังถูกใช้เพื่อหลบเลี่ยงภาษีและข้อจำกัดของภาครัฐ โดยบ่อยครั้งที่การยอมรับ Crypto ถูกเห็นพบในประเทศที่ยากจนกว่า ซึ่งมีการควบคุมเงินทุนที่จำกัดการไหลของเงินทุนต่างประเทศเข้าและออกจากเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่รายงานดังกล่าวของ IMF นั้นมีขึ้นในช่วงเวลาที่หลายประเทศ พยายามออกข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี่ ซึ่งแต่ละประเทศก็มีความเข้มงวดและรูปแบบการคุม Crypto ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
ที่มา : gadgets360