ในวันจันทร์ที่ผ่านมา (23 พ.ค.) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับเชิญให้เข้าร่วมและขึ้นพูดในงานประชุมด้านเศรษฐกิจระดับโลก (World Economic Forum:WEF) ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเวทีระดับโลกที่รวมตัวเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชน มาหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางเศรษฐกิจ สังคมที่ส่งผลกระทบต่อประชาคมโลก
นาย เศรษฐบุตร สุทธิวัฒน์นฤพุฒ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าธนาคารกลางหลายแห่งจะกำลังพิจารณา CBDC อยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ในภาคปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ธปท. จึงได้ริเริ่มโครงการพิสูจน์แนวคิดสกุลเงินดิจิทัลที่ออกใช้ระหว่างสถาบันการเงิน (Wholesale CBDC) ขึ้นในปี 2561 โดยโครงการ mBridge เริ่มต้นจากการทดลองการชำระเงินระหว่างสถาบันการเงินข้ามพรมแดนกับธนาคารกลางฮ่องกง จากนั้นก็ขยายมาทดลองกับธนาคารแห่งประชาชนจีน ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS)ซึ่งการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน โดยใช้เทคโนโลยีการธนาคารแบบดั้งเดิมอาจใช้เวลาหลายวันกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ในขณะที่ธุรกรรม CBDC นั้นเร็วกว่ามาก
ผู้ว่าการธนาคารธปท. กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีบล็อคเชนอาจเกิดผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมา โดยเขากล่าวว่า ความโปร่งใสเป็นเรื่องที่ดี แต่การไม่เปิดเผยตัวตนอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการปรับขนาดและมีความเสี่ยงต่อออกแบบ CBDC เนื่องจากสัญญา Smart contract กำหนดให้ต้องมีการระบุ การจัดการกับทุกเหตุการณ์ล่วงหน้า โดยเขาอ้างถึงกรณีการคว่ำบาตรรัสเซียในปัจจุบันว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของความท้าทายที่อาจเกิดผลกระทบขึ้นต่อการออกแบบ CBDC
นาย เศรษฐบุตร ยังกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันธนาคารกลางของไทยกำลังมองหา “โครงการนำร่องในวงจำกัด” สำหรับ CBDC ที่ออกให้กับรายย่อย (Retail CBDC) ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
และในส่วนของการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโอนเงินจากแรงงานในต่างประเทศกลับบ้านเกิด ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงถึง 48,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ถือเป็นหนึ่งในกรณีการใช้งานที่น่าสนใจของ CBDC โดยผู้ว่า ธปท.กล่าวว่า CBDC มีต้นทุนที่ถูกกว่า 50% และเร็วกว่าเทคโนโลยีการโอนเงินในปัจจุบันถึง 68% ซึ่งปัจจุบัน ค่าธรรมเนียมสำหรับการโอนประเภทนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 6.3% ของยอดธุรกรรม
Axel Lehmann ประธานของ Credit Suisse ธนาคารเพื่อการลงทุนและบริการทางการเงินระดับโลก ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับ CBDC สำหรับรายย่อยในเรื่องการจ่ายดอกเบี้ย ความเป็นส่วนตัว และการไกล่เกลี่ยปัญหาที่ยุ่งยากอื่น ๆ พร้อมกับชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีการชำระเงินที่รวดเร็วแบบที่ไม่ต้องใช้บล็อกเชน
ที่มา : cointelegraph ที่มารูปภาพ : ลิงก์