แน่นอนว่า Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกอย่างที่เรารู้กันดีในปัจจุบัน แต่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่าก่อนที่ Bitcoin จะมาถึงจุดนี้ได้นั้น มีสกุลเงินดิจิทัลมากมายที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนแล้ว แต่กลับไม่มีเหรียญไหนเลยที่ประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับ Bitcoin อย่างไรก็ตาม สกุลเงินดิจิทัลในยุคแรก ๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ปูรากฐานให้กับ Bitcoin ในเวลาต่อมา
และในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจะพาทุกคนไปย้อนเวลาสำรวจโลกแห่งสกุลเงินดิจิทัล แล้วมาดูกันว่าเหรียญดิจิทัลหน้าตาแบบไหนบ้าง ที่เป็นรากฐานความสำเร็จของ Bitcoin
E-cash: คริปโตตัวแรกของจริง
E-cash หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเงินดิจิทัลรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้เพื่อซื้อสินค้าและบริการผ่านทางออนไลน์หรือผ่านโทรศัพท์มือถือได้ โดย E-cash จะมีการเข้ารหัสแบบ RSA Blind Signatures ดังนั้นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของจึงไม่สามารถเข้าถึงได้

E-cash พัฒนาขึ้นโดย David Chaum ซึ่งถือเป็นบิดาแห่งสกุลเงินดิจิทัลในปี 1982 เขาได้ตีพิมพ์แนวคิดแรกเกี่ยวกับเงินดิจิทัลโดยไม่เปิดเผยตัวตน ลงในบทความชื่อ Blind Signatures for Untraceable Payments และเปิดตัว E-Cash ผ่านบริษัท DigiCash ของเขาในปี 1994
ในความเป็นจริงแล้วมีสถาบันมากมายให้ความสนใจกับ E-Cash ในสมัยนั้น รวมไปถึงธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Deustche Bank, Credit Suisse และอีกหลายหน่วยงานที่ขอลงนามข้อตกลงกับบริษัท DigiCash เพื่อใช้งาน E-Cash บนแพลตฟอร์มของเขา
อย่างไรก็ตาม มีเพียงธนาคารขนาดเล็ก ๆ แค่แห่งเดียวเท่านั้นที่เคยใช้ E-Cash เป็นผลิตภัณฑ์บนแพลตฟอร์มของตน โดยธนาคารนั้นคือ Mark Twain Bank เนื่องจากบริษัท DigiCash ล้มละลายในปี 1998 และขายกิจการให้กับ eCash Technologies
ทั้งนี้ถ้าหากใครรู้จัก Google E-cash ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ E-Cash ของ David Chaum เพราะ Google E-cash เป็นโครงการวิจัยของ Google ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัลแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน แต่ระบบ E-cash ของ Google ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และยังไม่มีกำหนดการเปิดตัวแต่อย่างใด ดังนั้น Google E-cash และ E-cash ของบริษัท DigiCash จึงไม่ใช่เงินดิจิทัลประเภทเดียวกัน และไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน
B-Money: แรงบันดาลใจของ Bitcoin

เมื่อประมาณปี 1998 วิศวกรคอมพิวเตอร์ชื่อ Wei Dai ได้เปิดตัว B-Money ในฐานะระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบหนึ่งที่ไม่ระบุชื่อ เขาอธิบายว่า B-Money เป็น “โปรเจกต์ที่ช่วยให้กลุ่มคนสามารถใช้นามแฝงดิจิทัลเพื่อจ่ายเงินให้กันและกัน และบังคับใช้สัญญาระหว่างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลที่สาม”
จากคำกล่าวของเขา B-Money น่าจะเป็นเหรียญรุ่นบรรพบุรุษที่ใกล้เคียงกับ Bitcoin มากที่สุด และเหรียญนี้ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในต้นกำเนิดของ Bitcoin ด้วยเช่นกัน เพราะในอดีต Satoshi Nakamoto เคยส่งอีเมลถึง Wei Dai เพื่อแสดงความสนใจใน B-Money และ whitepaper ของเขา ดังนั้น Bitcoin อาจได้รับแรงบันดาลใจจากงานของ Wei Dai ก็เป็นได้
นอกจากนี้ Wei Dai ยังเคยกล่าวไว้ด้วยว่าเขาจินตนาการถึงโลกที่สกุลเงินดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของ “Crypto-anarchy” ซึ่งเป็นอุดมคติทางสังคมและการเมืองที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี Crypto เพื่อลดทอนอำนาจของรัฐบาลและสถาบันอื่น ๆ ที่ต้องการควบคุมผู้คน
Bit Gold: Bitcoin เวอร์ชันแรก

ในช่วงทศวรรษ 1990 มีกลุ่มคนที่ชื่อว่า Cypherpunks ในหมู่วิศวกรคอมพิวเตอร์ โดยพวกเขาคือกลุ่มนักวิชาการและนักกิจกรรมที่อุทิศตนเพื่อสนับสนุนความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพส่วนบุคคลด้วยการใช้เทคโนโลยี Crypto เพื่อทำให้สกุลเงินมีความปลอดภัยและไว้วางใจได้มากขึ้น
Nick Szabo เป็นคนหนึ่งในกลุ่ม Cypherpunks ที่พัฒนา Bit Gold ขึ้นมา ซึ่งเหรียญนี้ก็มีฟีเจอร์หลายอย่างที่เหมือนกับ Bitcoin เช่น เครือข่ายแบบ peer-to-peer, การขุด, Proof-of-Work, บัญชีแยกประเภทสาธารณะ (public ledger), การเข้ารหัส (cryptography) ฯลฯ
อันที่จริง ความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุดของ Bit Gold คือการเปลี่ยนไปสู่การกระจายอำนาจ และแนวคิดในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อแก้ไข cryptographic puzzles ( การขุด) ดังนั้นหลายคนจึงคาดเดาว่า Nick Szabo คือ Satoshi Nakamoto ตัวจริง เนื่องจาก Bit Gold คล้ายกับ Bitcoin เป็นอย่างมาก แต่ Nick Szabo ได้ออกมาปฏิเสธเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
HashCash: บล็อกเชนที่มาก่อน Bitcoin

Adam Back ได้พัฒนา HashCash ขึ้นในปี 1997 และเผยแพร่แนวคิดนี้ในปี 2002 ในชื่อ “Hashcash – A Denial of Service Counter-Measure” พร้อมทั้งเสนอว่าสามารถใช้สกุลเงินนี้เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ DDos และสแปมอีเมล โดย HashCash ใช้อัลกอริธึม Proof-of-Work แบบ hash-based เพื่อสร้างและแจกจ่ายเหรียญใหม่ ๆ จนในที่สุด เหรียญนี้จะหมดความนิยม เนื่องจากต้องพลังในการประมวลผลที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ที่มา: reddit

