<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สหรัฐฯ ร่างกฎหมายใหม่ เสนอแบนเหรียญ USDT และบล็อกเชนที่สร้างในจีน อ้างความมั่นคงแห่งชาติ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2023 ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกาและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) นำโดย Abigail Spanberger และ Zach Nunn ได้มีการเสนอร่างกฎหมายใหม่เพื่อจำกัดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางไม่ให้ทำธุรกิจโดยใช้เครือข่ายบล็อกเชนในจีน โดยร่างกฎหมายใหม่มีการระบุว่าธุรกรรมทางธุรกิจที่ใช้คริปโตจะ “ถูกจำกัด” และ “ถูกเนรเทศไปพร้อมกับ USDT ของ Tether

เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความกังขาของวอชิงตันต่อความสัมพันธ์กับประเทศจีนในด้านสกุลเงินดิจิทัล ขณะเดียวกัน คำแถลงจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับร่างกฎหมายใหม่นี้ อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงสงครามเย็นกับอุตสาหกรรมคริปโต เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวสื่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการขัดขวางไม่ให้ธุรกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้แพลตฟอร์มคริปโตเพื่อโอกาสในการลงทุน

ในบรรดาบริษัทคริปโตที่ถูกกล่าวถึงในร่างกฎหมายนี้ คือ iFinex เป็นบริษัทแม่ของ Tether โดยได้มีการระบุถึงการแบนเหรียญ USDT ซึ่งเป็นเหรียญ Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ดังนั้นถ้าหากการแบน USDT เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หมายความว่าธุรกรรมที่ใช้ USDT ทั้งหมดก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ขณะเดียวกัน ข้อเสนอในร่างกฎหมายดังกล่าวยังพยายามที่จะห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐติดตามธุรกรรมดิจิทัลโดยใช้แพลตฟอร์มคริปโตที่พัฒนาในประเทศจีน รวมถึงระบุว่าจะตัดขาดไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐยุ่งเกี่ยวกับการสนับสนุนบล็อกเชนในจีนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายคริปโต

นอกจากนี้ ข้อเสนอในร่างกฎหมายยังห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้งานเครือข่ายบล็อกเชนอีกหลายแห่ง รวมถึง The Spartan Network, Red Date Technology Co. และ The Conflux ซึ่งเครือข่ายเหล่านี้คือบล็อกเชนที่อยู่เบื้องหลังสกุลเงินดิจิทัลของจีน และสนับสนุนผลิตภัณฑ์บล็อกเชนอย่างเงินหยวนดิจิทัล ซึ่งเป็น CBDC ของธนาคารกลางจีน

Zach Nunn เป็นสมาชิกใหม่ของสภาที่เข้าร่วมคณะกรรมการในปีนี้ โดยเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายในข้างต้นไว้ว่า:

“ภายในทศวรรษหน้า ชาวอเมริกันทุกคนจะมีข้อมูลส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนเก็บไว้โดยใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน ดังนั้นการลงทุนจำนวนมากของจีนในโครงสร้างพื้นฐานนี้จึงก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคงแห่งชาติและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลอย่างมหาศาล”

ที่มา: cryptopolitan