<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“GULF” รายงานผลประกอบไตรมาส 3 กำไรพุ่ง 4.2 พันล้าน ทำ Newhigh พร้อมเตรียมเปิด Gulf Binance เดือนพ.ย. นี้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 3/2566 เท่ากับ 9,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับ 6,660 ล้านบาทในไตรมาส 3/2565 และกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2566 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 3,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209% จาก 1,087 ล้านบาทในไตรมาส 3/2565 ซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจาก 35.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 เป็น 36.72 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 3/2566 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด

วันที่ 30 กันยายน 2566 GULF มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 476,710 ล้านบาท หนี้สินรวมเท่ากับ 332,454 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 144,256 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 1.70 เท่า ลดลงจาก 1.76 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ซึ่งการลดลงดังกล่าวมาจากส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/2566 คาดว่ายังคงเติบโตตามเป้า แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน-เดือนธันวาคม 2566 ลงมาอยู่ที่ 3.99 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง 

โดยอัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าว กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ของ GULF ยังสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าในปี 2565 เนื่องจากราคาก๊าซเฉลี่ยทั้งปีในปี 2566 ต่ำกว่าปี 2565 และค่า Ft เฉลี่ยปี 2566 ที่สูงกว่าในปี 2565 

อีกทั้งสัดส่วนของปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมมีเพียง 8% ของปริมาณการขายไฟฟ้าทั้งหมด GULF จึงไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2566 โครงการต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 662.5 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 

ขณะที่โครงการ Solar Rooftop ภายใต้ GULF1 มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ให้ครบ 150 – 180 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ประเทศเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ช่วง High Season ในไตรมาส 4 

แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้โครงการ Jackson Generation ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกามีผลกำไรที่ดีขึ้น สำหรับธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยภายใต้ Gulf  Binance นั้น มีกำหนดเปิดให้บริการภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะผลักดันให้กำไรของกลุ่ม GULF ในปี 2566 เป็นไปตามเป้าหมาย

GULF ให้ความสำคัญในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงได้มีการตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดภายในปี 2578 โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา GULF ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี เพื่อพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farms) 

และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar Farms With Battery Energy Storage Systems) จำนวนรวม 12 โครงการ มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 649 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2567 – 2568 นอกจากนี้ GULF ยังได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นเวลา 20 ปี เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจำนวน 2 โครงการ มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 16 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โครงการมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 หลังจากนี้ GULF คาดว่าจะทยอยลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนที่กลุ่ม GULF ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการจากการประมูลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อีกมากกว่า 700 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนี้ GULF ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่โครงการหลวงพระบาง โครงการปากลาย และโครงการปากแบ่ง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 3,142 เมกะวัตต์ โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2573 ปี 2575 และปี 2576 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3 โครงการจะผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมดให้แก่ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 29 – 35 ปี ทั้งนี้ GULF เชื่อมั่นว่าแนวทางการดำเนินงานอย่างยั่งยืนของบริษัทและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องจะสามารถทำให้บริษัทลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในระยะยาว

ที่มา : ฐาน เศรษฐกิจ