“เซียนฮง” ยอมรับขาดทุนหุ้นไทยรอบนี้เกือบ 50% หนักสุดในรอบ 10 ปี เผยต้องปรับกลยุทธ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เน้นหันมาถือเงินสดมากขึ้น รอจังหวะซื้อ พร้อมมองอนาคตหุ้นไทยอีก 1-2 ปียังไม่ใช่ขาขึ้น ห่วงกลุ่มอสังหาฯ อาจเห็นยอดเบี้ยวหนี้หุ้นกู้เพิ่ม
เอ่ยชื่อ “เซียนฮง” หรือ “สถาพร งามเรืองพงศ์” น้อยคนที่อยู่ในวงการหุ้นจะไม่รู้จักเขา นั่นเพราะ “เซียนฮง” ได้ชื่อว่าเป็น “เทพแห่งการลงทุน” เป็นไอดอลของนักลงทุนรุ่นใหม่หลาย ๆ คน โดยเขาเริ่มต้นจากเงินลงทุนเพียงแค่หลัก “แสนบาท” ก่อนที่พอร์ตจะพุ่งทะยานจนแตะระดับ “หมื่นล้านบาท”
“เซียนฮง” สร้างชื่อเสียงจากหุ้น บมจ.บัตรกรุงไทย(KTC) ที่ทยอยซื้อสะสมตั้งแต่ปี 2556 จนขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 3 ในปี 2563 สร้างกำไรมหาศาลจากหุ้นตัวนี้ ก่อนจะเทขายในเวลาต่อมา
อีกหุ้นที่ทำให้ “เซียนฮง” ชื่อเสียงดังทะลุฟ้า คือ หุ้น บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก(OR) เพราะอยู่ ๆ เขาก็ปรากฎรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 รองจากบริษัทแม่ซึ่งก็คือ บมจ.ปตท.(PTT) โดยถือหุ้นรวมกว่า 244 ล้านหุ้น ราคาหุ้นในขณะนั้นอยู่ที่ราว ๆ 31-32 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 7,800 ล้านบาท ก่อนจะทยอยขายหุ้นจนเกือบหมดพอร์ต
แม้เซียนฮงจะได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งการลงทุน แต่กับสถานการณ์หุ้นไทยในปัจจุบันเขายอมรับว่ายังเอาตัวแทบไม่รอด!
เซียนฮง ให้สัมภาษณ์กับว่า ผลจากดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงหนัก ทำให้ลงทุนยากขึ้น โดยช่วงที่ผ่านมาพอร์ตการลงทุนของเขา “ขาดทุน” ไปราว 40-50% นับเป็นการขาดทุนที่หนักสุดในรอบ 10 ปี
“หุ้นที่ถืออยู่บางตัวลดลงมา 20% และบางตัวก็ลดลงหนักกว่า 40-50%”
เขายังบอกด้วยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยหันมาถือเงินสดเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันถือเงินสดราว 50% ของพอร์ต ทำให้รอบล่าสุดผลการขาดทุนจึงไม่ได้มากนัก โดยปัจจุบันมูลค่าพอร์ตการลงทุนรวมราว 5-6 พันล้านบาท ขณะที่หุ้นในพอร์ตก็กระจายตัวมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 10 ตัว
เซียนฮง กล่าวด้วยว่า การที่หันมาถือเงินสดเพิ่มขึ้นก็เพื่อรอซื้อหุ้นในช่วงวิกฤติ ซึ่งแม้จะไม่เกิดขึ้นแต่ก็เป็นการเตรียมความพร้อมไว้ก่อน
นอกจากนี้เขายังยอมรับว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำ โดยตัวเขายังมองด้วยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยจะยังไม่ได้เป็นขาขึ้นไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี ที่ต้องจับตาคืออาจเห็นบริษัทจดทะเบียนเบี้ยวจ่ายหนี้หุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดมากขึ้น
“ดอกเบี้ยตลาดที่สูงขึ้น ทำให้ภาระดอกเบี้ยที่บางบริษัทต้องจ่ายอาจเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว เช่น เคยออกหุ้นกู้หรือกู้เงินในปีนี้จ่ายดอกเบี้ย 2.5-3% แต่ปีหน้าก็อาจต้องจ่ายดอกเบี้ยที่ 5% และหากผลดำเนินงานในปีหน้าไม่ดี แบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ก็อาจเห็นภาวะที่ธุรกิจขาดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น การเบี้ยจ่ายหนี้หุ้นกู้จะยังมีให้เห็นต่อเนื่อง”
เซียนฮง ยังแนะนำให้จับตากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีสัดส่วนการขายต่อยอดเปิดจองลดลงมาอยู่ที่ 9% ซึ่งนับเป็นเดือนแรกที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 10% ขณะที่ช่วง 9 เดือนปีนี้อยู่ที่ 17% ลดลงจากช่วงเดียนกันปีก่อนที่อยู่ระดับ 37% สะท้อนกำลังซื้อของคนที่ลดลงค่อนข้างมาก และธนาคารพาณิชย์ก็อาจจะเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นด้วย
“หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องในเดือนถัดๆไป หรือ 2-3 เดือนติดต่อกัน กลุ่มอสังหาฯ อาจมีปัญหา ยอดขายไม่ได้ตามเป้า ขาดสภาพคล่อง เกิดหนี้เสีย ก็อาจเกิดการเบี้ยวจ่ายหุ้นกู้ตามมาได้ ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม”
นอกจากนี้ เขายังแนะนำว่า นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับธุรกิจที่มีกระแสเงินสดและงบดุลเป็นหลัก เลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีหนี้สูง เนื่องจากดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ยังกดดัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้น เขากล่าวว่า โดยส่วนตัวโฟกัสเป็นหุ้นรายตัว มากกว่า โดยเลือกลงทุนหุ้นที่แกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม เมื่อตลาดพลิกกลับเป็นขาขึ้น หุ้นเหล่านี้จะปรับตัวขึ้นก่อน
นอกจากนี้ เซียนฮง ยังเตือนนักลงทุนว่า ในช่วงนี้มีมิจฉาชีพที่หลอกลวงให้ลงทุนจำนวนมาก และโดยส่วนตัวไม่มีการเปิดไลน์ หรือการให้คำแนะนำการลงทุนใดๆ ผ่านสื่อออนไลน์ รวมถึงในไลน์กรุ๊ป หากพบการดำเนินงานดังกล่าว ยืนยันว่าไม่ใช่ตนเองอย่างแน่นอน เพราะในไลน์ส่วนตัวของตนนั้นไม่มีการใช้รูปภาพของตัวเอง และไม่มีการเปิดไลน์กรุ๊ปแต่อย่างใด
โดย “เซียนฮง” พร้อมกับทนายความ ได้เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้ดำเนินคดีกับมิจฉาชีพ ที่ได้นำชื่อและรูปถ่ายไปทำการตัดต่อเพื่อหลอกลวงประชาชนไปร่วมลงทุน พร้อมตั้งรางวัลนำจับรอบนี้ 150,000 บาท หลังจากที่ผ่านมามีผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนไปแล้วหลายสิบล้านบาท
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ