นักวิเคราะห์ของ JPMorgan ได้ชี้ให้เห็นถึงแรงหนุนที่อยู่เบื้องหลังความผันผวนในปัจจุบันของ Bitcoin และตลาดสกุลเงินดิจิทัลโดยรวม
การเพิ่มขึ้นของราคา Bitcoin ไม่ได้เกิดจากการที่นักลงทุนเปลี่ยนใจจากทองคำมาเป็น Bitcoin แต่เป็นเพราะนักลงทุนรายย่อยทำการเก็งกำไร โดยการซื้อทั้งทองคำและ BTC Futures นักวิเคราะห์กล่าว
นับตั้งแต่เปิดตัว Bitcoin spot ETF เมื่อต้นปีนี้ มีเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนเหล่านี้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ ETF ของทองคำกลับมีเงินไหลออก ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่การแสดงความคิดเห็นว่านักลงทุนเปลี่ยนใจจากทองคำเป็น Bitcoin แล้ว
แต่นักวิเคราะห์ของ JPMorgan นำโดย Nikolaos Panigirtzoglou แย้งว่าไม่เป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาให้เหตุผลว่าแนวโน้มตลาดขาขึ้นของ Bitcoin นั้นได้รับแรงผลักดันจากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันที่ซื้อทั้งทองคำและ BTC Futures
“นอกเหนือจากนักลงทุนรายย่อยแล้ว นักลงทุนสถาบันก็เก็งกำไรในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น กองทุนเฮดฟันด์ รวมถึงนักเทรดตามแนวโน้ม เช่น ที่ปรึกษาการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ได้กระจายการลงทุนออกไปโดยการซื้อทั้งทองคำและ Bitcoin Futures ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งนี่อาจจะมากกว่านักลงทุนรายย่อยเสียด้วยซ้ำ” นักวิเคราะห์เขียน “ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขากล่าว
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า เงินไหลออกจากกองทุน ETF ทองคำ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปิดตัว Spot Bitcoin ETF แต่เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมา 4 ปีตั้งแต่ช่วงโควิด-19
นอกจากนี้ นักลงทุน ETF ทองคำไม่ได้เปลี่ยนมาใช้ Bitcoin ETF ตามที่นักวิเคราะห์ระบุ แต่ในความเป็นจริง พวกเขากำลังซื้อทองคำมากขึ้น แต่อยู่ในรูปแบบของทองคำแท่งและทองคำจริง “แนวโน้มการไหลออกของทองคำ ETF นี้ไม่ได้สะท้อนถึงการซื้อทองคำที่น้อยลง เพียงแต่เปลี่ยนจาก ETF ทองคำไปสู่ทองคำแท่งและทองคำเครื่องประดับ” นักวิเคราะห์กล่าว
การซื้อ BTC จำนวนมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ของ MicroStrategy ยังมีบทบาทในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับการแนวโน้มขาขึ้นของตลาดคริปโต ในปีนี้ ทั้งนี้บริษัท MicroStrategy ดูเหมือนจะเปลี่ยนตัวเองไปสู่การลงทุนแบบมีเลเวอเรจใน BTC โดยการซื้อ Bitcoin ผ่านการขายหุ้นกู้แปลงสภาพ อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ แนวทางนี้มีความเสี่ยง:
“เราเชื่อว่าการซื้อ Bitcoin ด้วยเงินกู้ของ MicroStrategy ช่วยเพิ่มเลเวอเรจ (ความเสี่ยง) และฟองสบู่ (ความร้อนแรงเกินจริง) ให้กับตลาดคริปโตเคอเรนซีในปัจจุบัน ส่งผลให้ความเสี่ยงในการลดสภาพคล่องอย่างรุนแรง (deleveraging) มีมากขึ้นในช่วงที่ตลาดขาลง (downturn) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”
ที่มา: bitcoinsistemi