<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ชัยชนะไม่ได้การันตีราคา! เหรียญแฟน Fan Token ทีมชาติสเปน ร่วง 20% หลังคว้าแชมป์ยูโร 2024

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ประเทศสเปนกำลังเฉลิมฉลองชัยชนะในศึกฟุตบอลยูฟ่า 2024 แต่เหรียญคริปโตประจำทีมชาติสเปน หรือ Spain National Fan Token (SNFT) กลับร่วงลงกว่า 20% 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สเปนเอาชนะอังกฤษในรอบชิงชนะเลิศของทัวร์นาเมนต์ยูฟ่า คว้าแชมป์ยุโรปครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ขณะที่อังกฤษได้รอคอยชัยชนะในทัวร์นาเมนต์ใหญ่มานานนับทศวรรษ

แต่ทว่าเหรียญ SNFT ของทีมชาติสเปน กลับลดลง 20% เหลือ $0.024 ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $565,000 ตามข้อมูลจาก Coingecko ขณะเดียวกัน เหรียญแฟนโทเค็นทีมฟุตบอลชั้นนำอย่าง Paris Saint-Germain Fan และ FC Barcelona Fan กลับเพิ่มขึ้น 2% ถึง 4% พร้อมกับราคาของ Bitcoin ที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง

ทีมชาติสเปนได้เปิดตัวเหรียญ SNFT ในปี 2021 ร่วมกับราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนและแพลตฟอร์มบล็อกเชนของตุรกี Bitci โดยเหรียญดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของแฟน ๆ และมอบประสบการณ์พิเศษให้กับผู้ชื่นชอบกีฬาและนักลงทุน

การลดลงของราคา SNFT น่าจะเกิดขึ้น ตามแนวคิด “buy the rumor, sell the fact” หรือการซื้อเมื่อมีข่าวลือ และขายตอนข่าวจริงประกาศ ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่า ในช่วงสามวันก่อนหน้ารอบชิงชนะเลิศ ราคา SNFT ได้พุ่งขึ้นกว่า 70% ไปที่ $0.03845 

ตามบทวิเคราะห์ รายงานว่า โดยปกติเหรียญแฟนโทเค็นมักจะมีการเพิ่มขึ้นของราคาในช่วงเวลาก่อนการแข่งขันและลดลงหลังจากการแข่งขัน ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “buy the rumor, sell the fact” นี้เคยเกิดขึ้นในตลาดแฟนโทเค็นในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบของการแข่งขันฟุตบอลที่มีผลต่อมูลค่าตลาดของเหรียญ Fan Token

ในบทความวิเคราะห์เมื่อปี 2022 โดย Mieszko Mazur และ Miguel Vega ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแฟนโทเค็นและผลการแข่งในสนาม การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าผลงานของทีมไม่มีผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าแฟนโทเค็น ไม่ว่าจะเป็นทัวร์นาเมนต์ใด ๆ และยังระบุอีกว่าเหรียญเหล่านี้มักจะมีความผันผวน

“ถึงแม้ว่า แฟนโทเค็นจะสร้างผลตอบแทนในวันแรกของการซื้อขายสูงถึง 150% แต่ในระยะยาวแล้ว แฟนโทเค็นจะให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าเกณฑ์มาตรฐานคริปโตชั้นนำ อย่างเช่น Bitcoin (BTC) และเหรียญการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi)” ตามที่บทวิเคราะห์ระบุ

ที่มา:coindesk