ในงาน Bitcoin Conference 2024 ที่เมืองแนชวิลล์ Robert Mitchnick หัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัลของ BlackRock กล่าวว่า แรงผลักดันหลักเบื้องหลังการสร้างกองทุนซื้อขาย Bitcoin ETF คือความต้องการของลูกค้า
Mitchnick ได้อธิบายให้กับ James Seyffart นักข่าวของ Bloomberg ฟังอีกว่า กองทุนเหล่านี้ เพิ่งเริ่มมีแรงขับเคลื่อนและ “มันยังเป็นช่วงเริ่มต้น”
แม้กระทั่ง Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock บริษัทบริหารจัดการเงินลงทุนยักษ์ใหญ่ ซึ่งในตอนแรกเป็นคนกังขาในตัว Bitcoin แต่เมื่อบริษัทได้จ้าง Mitchnick มาดูแลด้านคริปโตฯ ในปี 2018 จุดยืนของ Larry Fink ก็ได้เปลี่ยนไป
การเติบโตของกองทุน ETF ในสินทรัพย์คริปโต
Bitcoin ETF ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดย Seyffart เน้นว่า พวกมันประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นหนึ่งในการเปิดตัวกองทุน ETF ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาประเมินว่า iShares Bitcoin Trust (IBIT) มีส่วนช่วยให้รายได้ของ BlackRock เพิ่มขึ้น 20-25% ในปีนี้ ทำให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดอันดับสองของบริษัท รองจาก S&P 500 ETF
Mitchnick อธิบายเสริมว่า ความต้องการเริ่มแรกในกองทุน ETF มาจากนักลงทุนโดยตรง ในขณะที่ที่ปรึกษาทางการเงินและนักลงทุนสถาบันของ BlackRock ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการยอมรับมันเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังชี้ให้เห็นอีกว่า บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินรายใหญ่ อย่างเช่น Morgan Stanley, UBS และ Merrill Lynch ยังไม่ได้เสนอบริการ Bitcoin ETF แบบที่ต้องการ เนื่องจากการจะทำสิ่งนี้ได้นั้นมักใช้เวลาหลายปี
อย่างไรก็ตาม Mitchnick เชื่อว่าปีนี้เราอาจเห็นแนวโน้มนี้เพิ่มขึ้น เขาประเมินว่าที่ปรึกษาอิสระที่จดทะเบียนกับ BlackRock กำลังจัดสรรเงินทุนประมาณ 2-3% ให้กับ Bitcoin ETF ในปัจจุบัน
ความสนใจที่จำกัดนอกเหนือจาก Bitcoin และ Ethereum
BlackRock มองว่า “มีความสนใจน้อยมาก” ในคริปโตเคอร์เรนซีตัวอื่นที่นอกเหนือจาก Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) เขาไม่คาดว่าจะมีการแพร่หลายของ Crypto ETF เกิดขึ้นที่นอกเหนือจากสินทรัพย์หลักทั้ง 2 ตัวนี้ ตามที่ Mitchnick กล่าว ความสนใจของลูกค้ายังคงอยู่ที่ Bitcoin เป็นหลัก โดยมีความสนใจใน Ethereum บ้างเล็กน้อย
การทำนายที่กล้าหาญของ VanEck – Bitcoin ที่มูลค่า 2.9 ล้านดอลลาร์ ต่อ 1 BTC
ผู้จัดการกองทุนของ VanEck ได้เผยแพร่รายงานที่ทำนายว่า Bitcoin อาจมีมูลค่าตลาดรวมถึง 61 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Trillions ) หรือประมาณ 2.9 ล้านดอลลาร์ต่อ 1 BTC ภายในปี 2050 การคาดการณ์นี้อ้างอิงจากความต้องการที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับ Bitcoin ในฐานะหลักประกันสำหรับการชำระการค้าระหว่างประเทศและในฐานะสินทรัพย์สำรองสำหรับธนาคารกลาง
ในรายงานยังระบุอีกว่า Bitcoin อาจถูกใช้ 10% สำหรับการค้าระหว่างประเทศทั่วโลกและ 5% สำหรับการค้าภายในประเทศ ภายในปี 2050 ซึ่งทำให้ธนาคารกลางถือ 2.5% ของสินทรัพย์เป็น Bitcoin
VanEck คาดการณ์ว่าโซลูชัน Bitcoin Layer-2 (L2) อาจมีมูลค่ารวมประมาณ 7.6 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาการขยายตัว (Scalability) และอำนวยความสะดวกในการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
Marathon Digital Holdings ซื้อ Bitcoin 20,000 BTC และจะ HODL
Marathon Digital Holdings Inc. (MARA) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเหมืองขุด Bitcoin (BTC) ที่ใหญ่ที่สุด ได้ประกาศการซื้อ Bitcoin มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยบริษัทระบุว่าจะถือไว้แบบ HODL
บริษัทเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่าตอนนี้ถือ Bitcoin กว่า 20,000 BTC ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 1.3 พันล้านดอลลาร์ตามราคาปัจจุบัน และมีแผนที่จะซื้อ Bitcoin เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
Salman Khan ซึ่งเป็น CFO ของ Marathon Digital อธิบายถึงการตัดสินใจนี้ว่า “การลดลงของราคาของ Bitcoin ล่าสุด ประกอบกับความแข็งแกร่งของงบดุลของเรา ทำให้เราได้มีโอกาสเพิ่มการถือครองของเรา เราหวังว่าจะใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีของเราต่อไปเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศของ Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลที่กระจายอยู่”
การเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์นี้ไปสู่แนวทาง “HODL” ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับ Marathon บริษัทเคยใช้กลยุทธ์การขาย Bitcoin ที่ขุดได้เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวของคริปโตที่ตลาดลดลงอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวนี้ในการขายสินทรัพย์เป็นเรื่องปกติในหมู่นักขุดในช่วงตลาดหมีที่ยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ Marathon กำลังเข้าร่วมกับนักขุดคนอื่น ๆ ที่กลับมาใช้กลยุทธ์การถือครอง Bitcoin ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ในช่วงตลาดกระทิงก่อนหน้านี้
Fred Thiel ประธานและ CEO ของ Marathon Digital เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทต่อ Bitcoin โดยกล่าวบน X ว่า “การใช้กลยุทธ์ HODL อย่างเต็มที่สะท้อนถึงความมั่นใจของเราในมูลค่าระยะยาวของ Bitcoin เราเชื่อว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองทางการคลังที่ดีที่สุดในโลกและสนับสนุนแนวคิดที่ว่ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินั้นถือครอง Bitcoin อยู่ สุดท้ายนี้เราขอแนะนำให้รัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ ถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง”
ที่มาข่าวและภาพ:bravenewcoin