<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สุดเซ็ง! หนุ่มถอยรถใหม่แต่ดอยอย่างกับคริปโต หลังราคา EV ร่วงกว่า 33% ในเวลาแค่ปีเดียว

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ก่อนหน้านี้สยามบล็อกเชนเคยนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับความผันผวนของราคาคริปโตเคอร์เรนซีเมื่อเทียบกับตุ๊กตาลาบูบู้ ซึ่งเป็นของสะสมที่ได้รับความนิยมสูง แต่ทว่าราคาของมันกลับมีการเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาได้ยากไม่แพ้กัน

ซึ่งวันนี้เราจะมาขยายขอบเขตของการเปรียบเทียบนี้ไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการนำเสนอสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นคือ รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

เพจ EV Thailand รถยนต์ไฟฟ้า ได้เผยแพร่เรื่องราวสุดช็อกของหนุ่มรายหนึ่งที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาในราคาเกือบ 1.3 ล้านบาท แต่เพียงปีเดียวราคาของรถกลับลดลงเหลือเพียง 859,000 บาท ทำให้เจ้าของรถต้องเผชิญกับความสูญเสียมูลค่ารถยนต์กว่า 427,000 บาท ขณะที่ยอดผ่อนชำระยังคงเหลืออีกมาก จนทำให้เจ้าของรถรู้สึกเศร้าใจและผิดหวังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อนำตัวเลขดังกล่าวไปคำนวนจะพบว่าใน 1 ปีราคาของรถรุ่นดังกล่าวได้ลดลงมาแล้วกว่า 33% และยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าเสื่อมสภาพจากการใช้งานทำให้ในปัจจุบันราคาซื้อขายรถรุ่นดังกล่าวยิ่งต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และนี่ยังไม่รวมดอกเบี้ยที่เขาต้องจ่ายอีก ซึ่งราคารถมือสองรุ่นใกล้เคียงกันปัจจุบันก็อยู่ที่ระดับราคา 5-6 แสนเพียงเท่านั้น

สำหรับสาเหตุที่ราคาของรถยนต์ EV ลดลงอย่างหนักเป็นเพราะเทคโนโลยีที่สูงขึ้นทำให้ต้นทุนในการประกอบชิ้นส่วนรถโดยเฉพาะแบตเตอรี่นั้นถูกลงอย่างมาก ประกอบกับอุปทานเริ่มสมดุลกับอุปสงค์ทำให้ราคาของมันลดลง

จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีชาวเน็ตหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นเชิงปลอบใจว่า อย่างน้อยก็ได้ซื้อมาใช้ก่อนคนอื่น ส่วนบางรายก็ได้แนะนำอย่างติดตลกว่าให้เจ้าของโพสต์ซื้อคันใหม่เพิ่มเพื่อ DCA ถัวเฉลี่ยต้นทุน

ทีนี้มาดูกันด้านคริปโตบ้างว่าเป็นอย่างไร สำหรับ Bitcoin นั้นตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาได้ทำราคาพุ่งสูงขึ้นกว่า 119% จากราคาที่ $25,000 ขึ้นมาจนถึง $56,000 ขณะที่รายงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาของมันยังเคยได้ไปแตะระดับ $73,000 อีกด้วย

อย่างไรก็ตามการเปรียบเทียบคริปโตที่ไม่ได้นำมาใช้งานทุกวันอาจจะไม่ยุติธรรมไปสักเล็กน้อย แต่นี่ก็ชี้ให้เห็นว่าแม้ความผันผวนจะมีสูง แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่ความผันผวนนั้นจะส่งผลดีกับนักลงทุน มากกว่ามีแต่ข่าวร้ายอย่างเดียว


ที่มา : Facebook