ในอดีตเงินมูลค่าหนึ่งล้านดอลลาร์เคยเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงิน แต่ในปัจจุบันเศรษฐีชาวอเมริกันหลายคนไม่คิดว่าตัวเองร่ำรวย แม้จะมีเงินมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์
ตามข้อมูลจากการวิจัยของ Northwestern Mutual ระบุว่า มีเพียงหนึ่งในสามของบุคคลที่มีสินทรัพย์ ที่สามารถลงทุนได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่รู้สึกว่าตนเอง “ร่ำรวย” ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือ ความมั่งคั่งดูเหมือนจะมีความซับซ้อนมากขึ้นสำหรับคนอื่น ๆ เนื่องจากปัจจัยส่วนบุคคลอื่น ๆ เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย และภาระความรับผิดชอบในครอบครัว
แม้ว่าเศรษฐีสองในสาม อาจไม่รู้สึกว่า ตัวเองรวย แต่สถานะทางการเงินของพวกเขาก็มีข้อได้เปรียบที่สำคัญ เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไปแล้ว พวกเขามักจะมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้จ่ายของตัวเองดีกว่า และรู้สึกว่าตัวเองมีความพร้อมทางการเงินมากกว่า
สิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการวางแผนการเกษียณอายุ โดยบุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิสูงประมาณ 87% แสดงความมั่นใจในความพร้อมทางการเงินสำหรับการเกษียณอายุ เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนทั่วไปที่มีความพร้อมเพียง 54% เท่านั้น
ที่น่าสนใจคือ เศรษฐีส่วนใหญ่ไม่ได้รับมรดก มาเป็นทรัพย์สินของตน เกือบ 80% ถือว่าตนเองสร้างฐานะขึ้นมาด้วยตนเอง โดยสะสมความมั่งคั่งด้วยวินัยทางการเงิน และการทำงานอย่างหนัก ในทางตรงกันข้าม มีเพียง 11% เท่านั้นที่ระบุว่า ความมั่งคั่งของตนได้มาจากมรดก และมีเพียง 6% เท่านั้นที่ระบุว่า ทรัพย์สินของตนมาจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การถูกลอตเตอรี
ความสามารถในการพึ่งพาตนเองนี้ สะท้อนให้เห็นในวิธีการจัดการการเงินของพวกเขา โดยเศรษฐีประมาณ 78% อธิบายว่า ตัวเองเป็น “นักวางแผนการเงินที่มีวินัย” ซึ่งแตกต่างกับประชากรทั่วไปประมาณ 45% ที่ระบุว่า ตัวเองเป็นแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม แม้การวางแผนการเงินที่มีวินัย ก็ยังมีอุปสรรค ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ผลักดันให้ต้นทุนการครองชีพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสำหรับสิ่งที่จำเป็น เช่น อาหาร ซึ่งแม้แต่คนรวยก็ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังทำให้การเป็นเจ้าของบ้านนั้นยากขึ้น แม้แต่สำหรับผู้มีรายได้สูงก็ตาม
แม้ว่าการเป็นเศรษฐีในอเมริกา จะมาพร้อมกับความมั่นคงทางการเงินที่โดดเด่น แต่ก็ชัดเจนว่า ภูมิทัศน์ของความมั่งคั่งได้เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เคยดูเหมือนเป็นเหตุการณ์สำคัญทางการเงินตอนนี้ กลับเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งถูกกำหนดโดยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างของสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคล
ที่มา : inshort news