<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ผลสำรวจเผย 55% ของคน GenZ ในสหรัฐฯ ชอบใช้สกุลเงินดิจิทัลมากกว่าบริการจากธนาคาร 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

55% ของ Gen Z ในสหรัฐฯ ชื่นชอบ Cryptocurrency มากกว่าธนาคารแบบดั้งเดิม ส่งผลให้การใช้การเงินแบบกระจายอำนาจมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว อินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีการยอมรับ Cryptocurrency มากที่สุดในโลกเป็นปีที่สองติดต่อกัน ขณะที่ตลาด Cryptocurrency ในอินโดนีเซียมีการเติบโตถึง 200% เมื่อเทียบเป็นรายปี

Stablecoins มีมูลค่าหมุนเวียนอยู่ที่ 160,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีกระเป๋าเงิน 27 ล้านใบที่ใช้ Stablecoins เป็นประจำทุกเดือน  ซึ่งการใช้ Cryptocurrency กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะ Gen Z พวกเขาเลือกใช้ Cryptocurrency มากกว่าระบบธนาคารแบบดั้งเดิม

ผลการสำรวจที่จัดทำโดยนักวิเคราะห์ของ Bernstein เผยให้เห็นว่าคน Gen Z ในสหรัฐอเมริกา 55% ชอบลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลมากกว่าช่องทางการเงินแบบดั้งเดิมในตัวเลือกอื่นๆ  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ บ่งชี้ถึงรูปแบบใหม่ที่สังคมต้องการระบบการเงินที่ไม่รวมศูนย์  (centralized)

ปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล และคนเจน Z มีอำนาจในการควบคุมการเงินมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ในการสร้างความมั่งคั่งให้กับครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ๆ สำหรับกลยุทธ์ในการจัดการเงินของพวกเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวทางของคนรุ่นใหม่มีความสอดคล้องกับแอปพลิเคชัน DeFi และ stablecoin มากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม Baby Boomers ที่เคยใช้ธนาคารและโบรกเกอร์แบบดั้งเดิม

การเปลี่ยนแปลงของคน Gen Z ไปสู่ระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (Decentralized)

คน Gen Z เกิดในระหว่างปี 1997-2012 ไม่พอใจกับระบบธนาคารแบบดั้งเดิม ซึ่งดำเนินการล่าช้า มีค่าใช้จ่ายสูง และไม่ทันสมัย  ความสนใจในระบบการเงินแบบกระจายอำนาจ (decentralized) กำลังเพิ่มขึ้น คนวัยนี้ส่วนใหญ่ชอบทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (decentralized) และสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ

พวกเขามองว่าบริการของธนาคารดิจิทัลนั้นยุ่งยากและไม่โปร่งใส ซึ่งทำให้พวกเขาต้องการทางเลือกอื่นที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนทำให้สามารถโอนเงินข้ามพรมแดนได้ในต้นทุนที่ถูกกว่า เมื่อเทียบกับรูปแบบการทำธุรกรรมอื่นๆ

ในขณะนี้ มีกระเป๋าเงินประมาณ 27 ล้านใบ ที่ทำธุรกรรมด้วยการชำระเงินแบบ stablecoin เป็นประจำทุกเดือน ดังนั้น ด้วยความก้าวหน้าในการปรับขนาดบล็อกเชน จึงทำให้การโอนเงิน 1,000 ดอลลาร์ ข้ามพรมแดนเป็นเรื่องง่ายด้วยการจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงแค่เพนนีเดียว

ที่มา : thecoinrepublic