เมื่อไม่นานมานี้ BlackRock บริษัทจัดการกองทุนยักษ์ใหญ่ของโลกได้ทำการเผยแพร่เอกสาร Whitepaper จำนวน 9 หน้ากระดาษที่ระบุว่า Bitcoin ETF เป็น “ตัวกระจายความเสี่ยงที่ไม่เหมือนใคร” สามารถป้องกันความเสี่ยงในด้านการเงิน การคลัง และภูมิรัฐศาสตร์
เอกสารดังกล่าวรายงานว่า นับตั้งแต่ปี 2020 ทุก ๆ ครั้งที่มีโลกเกิดวิกฤตไม่ว่าจะด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สุขภาพ หรือโรคระบาด Bitcoin มักจะเป็นสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นที่สุด เหนือหุ้น S&P500 และ ทองคำ หรือก็คือเป็นทางหนี “Flight to safety” ให้กับนักลงทุนหลายคน
BlackRock ยังได้ทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนของสินทรัพย์ทั้ง 3 ตัวหลังเกิดวิกฤต ซึ่งจะนับอัตราผลตอบแทนที่ 10 วัน และ 60 วัน ตามรายละเอียดดังนี้
เหตุการณ์และผลตอบแทนในภาพ:
- สงครามความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน (3 ม.ค. 2020)
- 10 วัน: SPX +2%, ทอง 0%, BTC +12%
- 60 วัน: SPX -7%, ทอง +6%, BTC +20%
- วิกฤต COVID (11 มี.ค. 2020)
- 10 วัน: SPX -20%, ทอง -9%, BTC -25%
- 60 วัน: SPX +2%, ทอง +3%, BTC +21%
- การพยายามล้มผลการเลือกตั้ง ปธน. สหรัฐฯ (3 พ.ย. 2020)
- 10 วัน: SPX +7%, ทอง -1%, BTC +19%
- 60 วัน: SPX +12%, ทอง -1%, BTC +131%
- Russia เปิดสงครามกับ Ukraine (24 ก.พ. 2022)
- 10 วัน: SPX +1%, ทอง +2%, BTC -6%
- 60 วัน: SPX +3%, ทอง +9%, BTC +15%
- วิกฤตธนาคารในสหรัฐอเมริกา (9 มี.ค. 2023)
- 10 วัน: SPX -2%, ทอง +10%, BTC +25%
- 60 วัน: SPX +4%, ทอง +11%, BTC +32%
- วิกฤต Carry Trade เงินเยน (5 ส.ค. 2024)
- 10 วัน: SPX +2%, ทอง 0%, BTC 0%
- 60 วัน: (ข้อมูลยังไม่ครบ)
จากตารางดังกล่าวจะเห็นได้ว่า Bitcoin นั้นทำผลงานได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ เสมอในช่วงเวลาที่เกิดความไม่แน่นอน
ซึ่งการที่ BlackRock ออกมาเผยข้อมูลนี่ถือเป็นการยอมรับว่า Bitcoin นั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูงกว่าจริง และได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงโดยสถาบันแล้ว ทำให้อนาคตที่ Bitcoin จะถูกล้มล้างนั้นริบหรี่ลงขึ้นทุกวัน