Spot Ethereum ETF ของ BlackRock หรือที่เรียกว่า “ETHA” แม้จะมีการเติบโตที่ช้ากว่า Bitcoin ETF ของบริษัท แต่ Robert Mitchnick หัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัล ยังคงมองโลกในแง่ดีถึงแนวโน้มระยะยาว โดยเน้นว่าการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) นั้นถือเป็นสัญญาณบวก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดคริปโตยังคงเผชิญความผันผวน การที่ ETHA สามารถสะสมมูลค่า AUM จนทะลุระดับ 1,000 ล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ
ในงานประชุม Messari Mainnet ที่จัดขึ้นในนิวยอร์ก Mitchnick กล่าวว่า “มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่คุณจะเห็นกองทุน ETF สะสม AUM จนแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 7 สัปดาห์ เหมือนที่ ETHA ทำได้ ส่วนใหญ่แล้ว ETF ตัวใหม่ๆ มักจะใช้เวลาหลายปี หรือในบางกรณีก็อาจไม่สามารถแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ได้เลย”
ETHA เปิดตัวครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม หลังจากการอนุมัติที่ไม่คาดคิดจาก SEC ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่า 1 เดือนในการดึงเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิแตะ 1 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อถึงวันที่ 30 กันยายน ETHA มีการถือครอง Ethereum กว่า 380,601 ETH ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์
แม้ว่า ETHA จะตามหลัง Spot Bitcoin ETF ของ BlackRock (IBIT) ซึ่งสามารถสะสม AUM ได้มากถึง 2 พันล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 15 วันหลังเปิดตัว แต่ ETHA ยังคงถือเป็นหนึ่งใน ETF คริปโตที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในโลก
การเติบโตที่ซบเซานี้ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับ BlackRock และผู้เชี่ยวชาญด้าน ETF รายอื่นๆ โดย Mitchnick เชื่อว่าสาเหตุสำคัญมาจากเรื่องราวและการเล่าเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนใน Ethereum นั้น มีความยากกว่า Bitcoin ในแง่ของการที่จะทำให้นักลงทุนเข้าใจ
เขาได้อธิบายว่า “นั่นคือเหตุผลสำคัญที่เรามุ่งเน้นในเรื่องการให้ความรู้กับลูกค้าของเราอย่างจริงจัง”
หัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัลของ BlackRock กล่าวเพิ่มเติมว่า เขาไม่ได้คาดหวังว่า ETHA จะสามารถดึงดูดกระแสเงินลงทุนและ AUM ให้เติบโตได้เทียบเท่ากับ IBIT แต่เขามองว่าผลงานปัจจุบันของ ETHA ถือว่า “เป็นการเริ่มต้นที่ดี”
ในการพูดคุยที่งานประชุม Bitcoin 2024 ที่จัดขึ้นในเมืองแนชวิลล์เมื่อเดือนกรกฎาคม Mitchnick เปิดเผยว่า ฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ให้ความสนใจใน Bitcoin เป็นหลัก และตามมาด้วย Ethereum โดยความต้องการใน ETF คริปโตที่นอกเหนือจากสองสินทรัพย์หลักนี้ยังมีอยู่น้อยมาก
สำหรับ BlackRock แล้ว Bitcoin และ Ethereum มีคุณสมบัติที่เกื้อหนุนกันมากกว่าจะแข่งขันกันเพื่อแย่งความเป็นที่หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม Mitchnick คาดการณ์ว่า นักลงทุนจะจัดสรรพอร์ตคริปโตโดยถือ Ethereum ประมาณ 20% และส่วนที่เหลือ 80% จะเป็นการลงทุนใน Bitcoin
ที่มา:cryptobriefing