<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ศาลสูงสุดไฟเขียว! เตรียมขาย Bitcoin มูลค่า 4.38 พันล้านดอลลาร์จากคดี Silk Road

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ศาลฎีกาประกาศว่าได้ปฏิเสธคำร้องขออุทธรณ์ของบริษัท Battle Born Investments ซึ่งเป็นคดีที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในวงการคริปโต เนื่องจากจะเป็นตัวชี้ชะตาของ Bitcoin จำนวน 69,000 เหรียญ ที่ถูกยึดโดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในเดือนพฤศจิกายน 2020

Battle Born Investments อ้างว่าตนได้ซื้อสิทธิ์ใน Bitcoin ที่ถูกยึดนี้มาจากทรัพย์สินล้มละลายของบุคคลที่ชื่อว่า Raymond Ngan และยืนยันว่าตนเป็น “เจ้าของทรัพย์สินโดยชอบธรรม” โดยบริษัทยังระบุอีกว่า Ngan คือ “Individual X” ซึ่งเป็นแฮกเกอร์นิรนามที่ขโมย Bitcoin จาก Silk Road ก่อนจะยอมมอบกระเป๋าเงินนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ในภายหลัง

อย่างไรก็ตามทางศาลก็ได้ปัดตกคำกล่าวอ้างของ Battle Born  โดยให้เหตุผลว่า Battle Born ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า Raymond Ngan คือ “Individual X” 

เนื่องจากคำฟ้องของ Battle Born ขึ้นอยู่กับการอ้างสิทธิ์ในทรัพย์สินของ Ngan ศาลจึงตัดสินว่าบริษัทไม่มีสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายใน Bitcoin เหล่านี้ และเมื่อศาลสูงสุดปฏิเสธที่จะพิจารณาคดีนี้ ทำให้คำตัดสินของศาลชั้นล่างยังคงมีผลอยู่ หมายความว่า Bitcoin มูลค่า 4.38 พันล้านดอลลาร์ยังคงสามารถถูกนำไปขายทอดตลาดได้

ถึงแม้กระบวนการจะต้องผ่านขั้นตอนทางกฎหมายและเอกสารที่ซับซ้อนก่อนที่จะเริ่มการขายได้ แต่ในขณะนี้มีการโอน Bitcoin มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ไปยังกระเป๋าเงินของ Coinbase Prime แล้ว ซึ่งอาจบ่งชี้ว่า กระบวนการขายอาจเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ 

อย่างไรก็ตาม Coinbase เองก็มีข้อตกลงการดูแลทรัพย์สิน (custody deal) กับหน่วยงานรัฐ ดังนั้นการโอนอาจหมายถึงเพียงแค่การเก็บรักษา Bitcoin ในนามของ US Marshals Service  ซึ่งอาจไม่ใช่การเตรียมขายอย่างที่หลายใครเข้าใจ

การยึด Bitcoin ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

Ross Ulbricht หรือที่รู้จักในชื่อ “Dread Pirate Roberts” เป็นผู้สร้างและบริหารแพลตฟอร์มตลาดมืด Silk Road บนดาร์กเว็บตั้งแต่ปี 2011 ถึง 2013 ก่อนที่จะถูกจับกุมในปลายปี 2013 Silk Road เป็นที่รู้จักว่าเป็นตลาดมืดออนไลน์ที่ซับซ้อนและใหญ่ที่สุดในขณะนั้น โดยมีการซื้อขายสินค้าผิดกฎหมายต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด เครื่องมือแฮกเกอร์ บริการว่าจ้างนักฆ่า และอาวุธ โดยใช้ Bitcoin เป็นสกุลเงินหลัก นอกจากนี้ Silk Road ยังใช้เครื่องมือผสมคริปโต (crypto mixer) เพื่อป้องกันการติดตามเส้นทางของ Bitcoin แต่ละธุรกรรม จากข้อมูลของ IRS ในปี 2013 แพลตฟอร์มนี้มีผู้ใช้งานกว่า 100,000 ราย และมียอดขายรวมกว่า 9.5 ล้าน Bitcoin พร้อมค่าคอมมิชชั่นอีกกว่า 600,000 Bitcoin

หลังจากที่ Silk Road ถูกปิด FBI ได้จับกุม Ulbricht และเขาถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์รอลงอาญาในข้อหาฟอกเงิน ค้ายาเสพติด และการแฮกข้อมูล ต่อมาในปี 2020 IRS ได้ใช้บริษัทวิเคราะห์ธุรกรรมคริปโตในการสืบสวนเพิ่มเติม พบว่า “Individual X” แฮกเกอร์ที่ขโมย Bitcoin จาก Silk Road ระหว่างปี 2012-2013 ได้ทำธุรกรรมที่ไม่เคยตรวจพบมาก่อนถึง 54 รายการ ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ ยึด Bitcoin มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในขณะนั้น ซึ่งมูลค่าได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว กลายเป็นการยึดสินทรัพย์คริปโตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

แม้ว่ามีแนวโน้มว่า Bitcoin ที่ยึดได้จะถูกขายทอดตลาด แต่โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ได้เสนอว่ารัฐบาลควรเก็บ Bitcoin นี้ไว้เพื่อสร้าง “กองทุนสำรอง Bitcoin” ของสหรัฐฯ หากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง 

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยสัญญาว่าจะให้อภัยโทษ Ross Ulbricht เพื่อต้องการดึงคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้สนับสนุนคริปโต ในขณะเดียวกัน ฝั่งพรรคเดโมแครตอย่าง Kamala Harris ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนอุตสาหกรรมคริปโตเช่นกัน เพื่อให้ตนเองแตกต่างจากประธานาธิบดี Joe Biden ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมคริปโตเริ่มได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมืองมากขึ้น

ที่มา : Coin Paper