เมื่อไม่กี่วันก่อน ในขณะที่กระแสดราม่าของ The Icon Group กำลังร้อนแรง คุณ “CK Cheong” จากบริษัท Fastwork ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอบนช่องทาง ยูทูป และ โพสต์บนเฟซบุ๊ก ซึ่งมีใจความสำคัญที่ทำให้ผู้คนต้องหันมาคิดใหม่เกี่ยวกับการลงทุนและการสร้างรายได้
ในคลิปดังกล่าว CK ได้ชี้ให้เห็นว่า ‘การเปลี่ยนเงิน 1 แสนให้เป็น 100 ล้านนั้นเป็นไปไม่ได้” โดยเฉพาะเมื่อผู้ลงทุนขาดแหล่งรายได้ที่มั่นคงและเพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Active Income เขากล่าวต่อว่า หากคุณต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ต้องหาวิธีเพิ่มรายได้จากหลายช่องทาง เพราะถ้าคุณไม่มี Active income ที่มากพอ คุณก็จะไม่มีทางได้ Passive Income ในจำนวนมาก’
ความแตกต่างระหว่าง Passive และ Active income
สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจว่าการหารายได้ทั้งสองแตกต่างกันอย่างไร พูดให้เข้าใจง่ายเลยก็คือ Active income คือ รายได้ที่มาจากการที่เราลงมือทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนจากงานประจำ จากการขายของ หรือการลงุทนเองก็เป็น active income ในขณะที่ Passive income คือรายได้ที่เกิดขึ้นได้เองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรกับมันเพิ่มเติมจากการลงแรงในครั้งแรกเช่น การกินเงินปันผล การเก็บค่าเช่า , ค่าโฆษณา หรือ ค่าลิขสิทธิ์
จากโควตของคุณ CK การที่จะทำเงิน 1 แสนให้กลายเป็น 100 ล้านใน 10 ปี นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะนั่นหมายความว่าใน 1 ปี คุณจะต้องลงทุน (วิธีการที่รวดเร็วที่สุด) ไม่ว่าจะกับอะไรก็ตามให้ได้กำไรกว่าปีละ 10 ล้านบาท และถ้าหากมีเงินต้นอยู่ที่ 1 แสนบาท คุณจะต้องเปลี่ยนเงินก้อนแรกให้เป็นกำไรกว่า 100,000 % ถึงจะมีเงินต้นเพิ่มเป็น 10 ล้าน และนำเงินนั้นมาลงทุนให้ได้ปีละ 100% ถึงจะบรรลุเป้าหมาย (หากจำกัดเงินต้นเท่าเดิม)
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าด้วยเงินต้นเท่าเดิมจะทำให้เราด้วยได้อย่างมหาศาล แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้แค่มันอาจจะไม่ได้มากเท่า ยกตัวอย่างเช่นกรณีของ Bitcoin สมมติว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราลงทุนกับ Bitcoin ด้วยเงินจำนวน 100,000 บาท ($3076) จะทำให้เราได้เหรียญมา 7.69 BTC *อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2014* และถ้าขายมันในวันนี้ (15 ตุลาคม) ที่ราคาเฉลี่ย $65,800 จะได้เงินกลับมาอยู่ที่ $506,031 คิดเป็นเงินบาทได้ 16.8 ล้านบาท จากเงินต้น 100,000 บาท
ทั้งนี้แม้ว่าดูเหมือนจะง่ายแต่ในความเป็นจริงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว Bitcoin ยังถือเป็นเรื่องที่ใหม่และไม่มีใครยอมรับทำให้นั่นถือเป็นการตัดสินใจลงทุนที่เสี่ยงมาก ๆ ด้วยเงินจำนวนขนาดนี้
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ปัจจุบันตลาดคริปโตเติบโตขึ้นมาก และมีการลงทุนประเภทใหม่ขึ้นมาอย่างเหรียญมีม ซึ่งมันก็เป็นวิธีหาเงินที่ง่ายแต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง ยกตัวอย่างเช่นกรณีของเหรียญมีมหมูเด้ง ที่ได้มีเจ้ามือรายหนึ่งทำกำไรได้กว่า 19 ล้านบาท จากเงินต้นแค่ 7,000 บาท ซึ่งแน่นอนว่าหากตัดสินใจเทขายคนที่ได้รับผลกระทบคือรายย่อยที่เข้ามาได้ไม่นาน แต่ก็ต้องเสียเงินไปจำนวนมากจากมูลค่าที่ลดลงของเหรียญ ซึ่งนั่นก็เป็นเส้นบาง ๆ ระหว่างการลงทุนและการหลอกลวงที่นักเทรดต้องไปพิจารณากันเอาเอง
บทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้ไม่ได้มีเจตนาชักชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด