เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง BlackRock ได้พัฒนาการลงทุนใน Bitcoin ไปอีกขั้น หลังกองทุน Bitcoin แบบสปอต ETF ของบริษัททำสถิติการซื้อขายมูลค่า 1.65 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ BlackRock ยังมีการถือครอง Bitcoin จำนวนมหาศาลถึง 369,640 BTC ซึ่งมีมูลค่ากว่า 24.26 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.76% ของปริมาณ Bitcoin ทั้งหมดในตลาด สะท้อนถึงการยอมรับในระดับสถาบันที่มีต่อ Bitcoin
สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ว่า BlackRock จะวางตำแหน่งไว้ในแนวหน้าในการปฏิวัติสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ก็ได้ออกมายอมรับว่าตนเคยประเมินมูลค่า Bitcoin ผิดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่คนในวงการต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
Fink ระบุว่า Bitcoin ในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงิน
“ผมไม่คิดว่ามันขึ้นอยู่กับกฎระเบียบ แต่เป็นเรื่องของสภาพคล่องและความโปร่งใส เหมือนกับตอนที่เราเริ่มตลาดสินเชื่อจำนองหรือการออกตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อหลายปีก่อน”
แม้ว่าในปัจจุบันมูลค่าตลาดของ Bitcoin จะอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ Fink มองว่า Bitcoin อาจเติบโตจนเทียบเท่ากับตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์ เขาเชื่อว่า Bitcoin จะกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบการเงินในอนาคตเช่นเดียวกับที่ตลาดที่อยู่อาศัยเคยมีบทบาทมาโดยตลอด
โดยในตอนนี้ BlackRock ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลกเกี่ยวกับการจัดสรร Bitcoin ในพอร์ตการลงทุน ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของ Bitcoin ในพอร์ตการลงทุนระดับโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงท่าทีของ Fink ในครั้งนี้นับเป็นเรื่องสำคัญหลังจากที่เขาเคยสงสัยในคุณค่าของคริปโทเคอร์เรนซีร่วมกับ Jamie Dimon ซีอีโอของ JPMorgan เมื่อปี 2021
และนับตั้งแต่เปิดตัวกองทุน Bitcoin ETF แบบสปอตในเดือนมกราคมที่ผ่านมา BlackRock ได้สร้างสถิติใหม่ในการซื้อขาย และภายในเวลาเพียง 9 เดือน กองทุนนี้ก็มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 24 พันล้านดอลลาร์ แสดงถึงความต้องการในการลงทุนใน Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: Finbold