เมื่อวานนี้ 15 ต.ค. เกิดกระแสฮือฮาอีกครั้งในเมืองไทย เมื่อบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป โดนสำนักงาน ปปง. สั่งเล่นงานหนัก หนึ่งในผู้เกี่ยวข้องไม่ใช่ใครอื่น เพราะนั่นคือ บิ๊กบอส (พอล) และ ดาราพิธีกรชื่อดัง (กันต์) 1 ใน 4 ดาราที่เกมก่อนใคร ซึ่งพวกเขาถูกยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 125 ล้านบาท โดยมาจากทั้งเงินสดและสกุลเงินดิจิทัล นี่ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการขายตรง-วงการบันเทิงไทย อย่างมากในยุคปัจจุบัน
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้สั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป รวมถึงนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล (บอสพอล) และนายกันต์ กันตถาวร (บอสกันต์) และพวกอีก 2 คนคือ นายณิชพน และ นางสาวฐิตตญา เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 125,548,076.99 บาท ไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน ตามเอกสารของ ปปง.
โดยทรัพย์สินที่ถูกอายัดไปนั้น ประกอบด้วย ทรัพย์สินประเภทเงินในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์, เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน, เงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และเงินในบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัล
การดำเนินการดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ ปปง. ได้รับแจ้งจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัยของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ซึ่งอาจเข้าข่ายการกู้ยืมเงินที่ฉ้อโกงประชาชน ด้วยเหตุนี้ เลขาธิการ ปปง. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 48 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ออกคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ทันที
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการฉ้อโกงทางการเงินในปัจจุบัน ซึ่งกระทบหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นวงการขายตรง-วงการบันเทิง โดยเผยให้เห็นว่าการทำ 1 ธุรกิจแต่ใช้ดารานักแสดงชื่อดังมากถึง 6 คน อาจไม่ใช่หลักประกันความน่าเชื่อถือเสมอไป ในยุคที่ภาพลักษณ์ไม่อาจบอกได้ทุกอย่าง
ดังนั้น ผู้คนที่คิดจะก้าวเข้ามาในวงการลงทุนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ควรจะพิจารณาถึงหัวใจสำคัญและเจตนาของธุรกิจนั้นๆ ให้ดี ว่าเขาต้องการจะทำธุรกิจจริงๆ อย่างการขายสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรือแค่ต้องการจะสร้างระบบแชร์ลูกโซ่ที่มุ่งเน้นการดึงคนเข้ามาร่วมลงทุนเพียงอย่างเดียว